วันที่ชีวิต Slow Life กับ “ข้าวต้มมื้อเช้า” @สิงคโปร์



     ผมได้โอกาสมาที่สิงค์โปร์อีกครั้งเพราะเป็นกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล มาดูงานที่นี่ ถึงสนามบินสิงคโปรที่ชื่อว่า "ชางงี" หรือบางทีบางคนเรียก ชางฮี จะเรียกอะไรก็ช่าง แต่ก็เป็นสนามบินแห่งชาติของสิงคโปร์ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าสะดวกสบายใหญ่โต โอ่โถง แต่ผมมาคราวนี้เห็นว่า สนามบินแห่งนี้ยังมีความใหญ่โตโอ่โถงอยู่ แต่ความสวยงามไม่ค่อยเหมือนเก่าและดูคับแคบ มีร้านรวงเกะกะเหมือนสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วไป สายพานรับกระเป๋าก็แออัด คับแคบ หรือว่าเป็นเพราะมีคนใช้มากก็ไม่รู้
     เป็นความรู้สึกของผมเองนะครับ ใครจะแย้งจะเถียงก็ตามสะดวก เพราะผมไม่ได้มาที่นี่สักสิบปีได้แล้ว ก็อาจมีความเก่า ๆ ติดอยู่ในสมองพอเห็นภาพใหม่ ๆ ที่แตกต่างก็ว่ากันไปตามที่เห็น มิได้มีอะไรเคลือบแฝงแต่อย่างใด สิ่งที่ดูจะเป็นเอกลักษณ์และยังเหมือนทุกประการคือ คนทำความสะอาด ดูแลห้องน้ำที่พวกเราเรียกว่าพนักงานบริการทั่วไป ล้วนเป็นคนมีอายุคือคนค่อนข้างแก่ (ไม่สุภาพนะครับ แต่ขอโทษด้วยเขียนตามที่เห็นและรู้สึก) สิงคโปร์เขาให้ความสำคัญกับคนเป็นที่หนึ่งครับ ไม่ว่าท่านอายุเท่าไร ถ้ายังมีพลังงานทำงานได้เขาจัดให้ท่านทำงานหมดแหละครับ นี่คือจุดเด่นของสิงคโปร์



     นั่งรถออกจากสนามบิน เห็นต้นไม้เยอะมาก (ซึ่งก็เยอะมาแต่เดิมแล้ว) คนสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับทรัพยากรธรรมชาตินะครับ เขาปลูกต้นไม้กันทุกที่ที่ว่าง เขาเอาต้นไม้มาปลูกไว้หมดแล้ว ต้นไม้ก็เขียวขจีต่างกับบางประเทศ (ไม่ได้บอกว่าประเทศไหน) มีแต่สิ่งก่อสร้างระเกะระกะรกหูรกตา น่าจะให้ผู้บริหารประเทศดูสิงคโปร์ไว้ แล้วเอาไปทำตาม ไม่ใช่ยกย่องแต่ไม่คิดจะทำตามอย่างในปัจจุบัน นั่งรถในสิงคโปร์มองไปทางไหนมีแต่สีเขียว ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน รถก็ไม่ค่อยติด เพราะเขามีระบบการควบคุมการเพิ่มของจำนวนรถที่เข้มงวดมาก รถยนต์ในสิงคโปร์แพงมาก คนจึงไม่ค่อยอยากซื้อและอีกอย่างระบบขนส่งสาธารณะเขาดีครับ โดยเฉพาะระบบทางราง คนถึงไม่จำเป็นต้องมีรถและไม่มีรถจอดเกะกะให้รำคาญใจเหมือนบางประเทศ (ก็ไม่ได้บอกว่าประเทศไหนนะครับ)
     ครั้งก่อน ๆ ที่มาสิงคโปร์ ไม่ว่ามาในฐานะผู้เข้ารับการฝึกอบรม มาดูงาน หรือมาเที่ยว ผมจะพูดกันเพื่อน ๆ ที่สิงคโปร์ว่า ดูเขาไม่หยุดที่จะก่อสร้างเลยนะ มีการทุบบ้าน สร้างตึกสูงมากมายเรียกว่า Never Stopped Construction เลยทีเดียว แต่มาคราวนี้ดูไม่ค่อยมีการก่อสร้างแล้ว คงจะต้องหยุดเพราะที่มันเต็มหมดแล้ว แต่สิ่งที่คนสิงคโปร์ไม่เคยหยุด คือ การถมทะเล มีการถมเกาะเล็ก ๆ สิบกว่าเกาะให้เป็นเกาะใหญ่เกาะเดียว ถมทะเลออกไปเป็นกิโล ๆ ถมทุกวันทุกเวลา จนเมื่อก่อนสิงคโปร์เขาว่าเล็กกว่าภูเก็ตบ้านเรา เดี๋ยวนี้เท่า ๆ กัน ในอนาคตจะใหญ่กว่าภูเก็ต เพราะเขาจะถมทะเลไปอีกสิบปี
     นี่ถ้าเป็นประเทศที่ NGO เป็นใหญ่บางประเทศ (ไม่ได้ระบุอีกแหละว่าประเทศไหน) แค่มีโครงการถมทะเลก็คงออกมาร้องกันเจี๊ยวจ๊าวว่ากระทบวิถีชีวิต กระทบโน่น กระทบนี่ แต่สิงคโปร์เขาเดินตามแนวทางการพัฒนาประเทศเขาชัดเจนคือต้องถมทะเลสร้างเมืองใหม่ เพื่อรองรับการพัฒนา เขาจึงทำจนประเทศเขาพัฒนาไปมากมาย มันอยู่ที่การทำความเข้าใจกับประชาชน และการทำเพื่อ “ให้” ไม่ได้ทำเพื่อ “เอา” มากกว่า ที่ทำให้เขาทำอะไรก็สำเร็จ เพราะส่วนรวมคือประเทศชาติต้องมาก่อนเสมอ นี่ก็ไม่ได้เปรียบเทียบกับประเทศไหนอีกแหละครับ
     มาพำนักสิงคโปร์เที่ยวนี้ เขาให้มาพักโรงแรมค่อนข้างหรู อยู่ริมอ่าวที่มารินา เบย์ ก็ดูสวยงามมากที่ห้องสามารถมองเห็นวิวทะเลและถนนได้พร้อมกันสวยทีเดียว การตกแต่งห้องดูหรู เก๋ ทั้งเตียงนอน ห้องน้ำ โต๊ะ ตู้ ดูเข้ากันดี เป็นโรงแรมที่สวยงามโรงแรมหนึ่งทีเดียว โรงแรมนี้เขาว่าก็เป็นส่วนหนึ่งของทะเลที่ถูกถมเป็นพื้นดินสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นมากมาย ลงทุนก็มากแต่คุณค่ายิ่งมาก ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นโรงแรม เป็นสถานที่พักผ่อน กีฬาทางน้ำ  ร้านอาหาร ร้านขายของ อยู่ใกล้ ๆ กับเอสพลานาดและเมอร์ไลอ้อน เดินถึงกันในห้านาที น่าอยู่มากครับ



     ได้ไปเดินที่ถนนออร์ชาร์ด เวลาเดินในถนนนี้เหมือนกับอยู่ในยุโรป เพราะตึกรามร้านรวง ดูเหมือนยุโรปจริง ๆ นอกจากคนส่วนใหญ่เป็นคนผิวเหลือง หัวดำเท่านั้น นอกนั้นเป็นยุโรปหมดทั้งการตกแต่ร้านและสินค้า เห็นแต่ละร้านมีคนเข้าซื้อสินค้ากันมากเหลือเกิน จนหน้าโต๊ะแคชเชียร์แน่นมาก  บางคนซื้อสินค้าใช้เวลา 10 นาทีแต่รอจ่ายเงินใช้เวลามากกว่า แต่คนสิงคโปร์เขาก็เข้าคิวรอกันอย่างปกติ  ไม่มีใครโวยวายอะไร แสดงว่ามีวินัยพอควร ตอนค่ำ ๆ หลังทานอาหารเย็น พวกเราไปนั่งดื่นกินกันที่ร้านเหล้า เขาเปิดขายถึงตีหนึ่ง ประกาศชัดว่าตีหนึ่งปิด พอถึงตีหนึ่งพนักงานทั้งหลายก็เดินตามโต๊ะเก็บแก้ว จาน ช้อนที่วางบนโต๊ะ แล้วก็ตามเช็คบิลจนหมด แล้วเริ่มปิดไฟ ใครจะนั่งดื่มต่อ เขาก็ไม่ว่าแต่พนักงานเขาปิดร้านกลับบ้านหมด ตรงเวลาจริง ๆ
     เช้าผมตื่นมากินอาหารเช้า เนื่องจากเป็นโรงแรมดี ออกจากห้องก็เดินไปทานอาหารได้เลยไม่ต้องลงไปแย่งกับคนอื่น อาหารเป็นอาหารบุฟเฟต์ แบบทั่ว ๆ ไป ที่ผมสนใจก็มีข้าวต้ม อยู่บนที่อุ่นร้อน ๆ มีผักกาดดองหลายอย่าง ไข่เยี่ยวม้า วางไว้ ผมนึกว่าจะให้แยกกันกิน แต่เห็นแขกคนจีนเขาตักข้าวต้มแล้วเอาของที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งหมดใส่ลงไปรวม ๆ กัน แล้วก็กินก็เลยทำมั่ง ก็อร่อยดีเหมือนกัน กินซะเต็มชามตามด้วยผลไม้ นม สลัดนิหน่อยก็ทำให้ผ่านมื้อเช้าไปได้
     พูดถึงข้าวต้มเป็นอาหารที่ตอนเช้า ๆ คนไทยและคนเอเชีย ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น ล้วนชอบกิน ทำก็ง่าย ผมก็ชอบทำกินทุกวันหยุด (ตอนที่ยังทำงาน) ตอนนี้เกษียณจากงานนึกอยากทำวันไหนก็ทำวันนั้น วิธีทำก็ง่าย ๆ เอาข้าวหอมมะลิสัก 1 ถ้วย มาซาวน้ำให้สะอาด ใส่น้ำลงไปสักสิบเท่าของข้าวที่ใส่ แล้วเติมข้าวเหนียว 1 กำมือ ต้มให้เม็ดข้าวทั้งข่าวสาร ข้าวเหนียวบาน เม็ดเป็นมันก็ปิดไฟ ตักกินร้อน ๆ กับไข่เค็ม ผักกาดดอง ปลาสลิดทอง หรือผัดผัก ผัดถั่วงอก ไข่เจียว (ทำสักสองอย่างไม่ต้องทุกอย่างนะครับ แค่นี้ก็อิ่มไปครึ่งวันแล้ว กินง่าย ทำง่าย สบาย ๆ สไตล์ชิว ๆ อย่างคนเกษียณจริง ๆ         
    หลายคนงงว่าผมเริ่มจากไปต่างประเทศมาลงท้ายด้วยข้าวต้มได้ยังไง ไม่ต้องสงสัยครับ นึกอะไรได้ก็เขียน ไม่ได้จำกัดอะไร บางวันอาจเขียนถึงสุริยะจักรวาล แล้วจบด้วยเก็บมะม่วงขายก็ได้ ก็นี่มันสไตล์ Slow Life อ่ะครับ จะกะเกณฑ์อะไรกันนิ...