คนที่ถูกมองไม่เป็นคน

วันนี้ผมต้องไปประชุมมูลนิธิที่สถานสงเคราะห์คนพิการที่บ้านการุณยเวศม์ บางละมุง ชลบุรี เพราะว่าเป็นประธานมูลนิธิซึ่งจะลาออกมาหลายครั้งแล้ว แต่น้องที่ดูแลมูลนิธิขอให้ช่วยไปก่อน เพราะบอกว่าหาประธานที่คุยกันรู้เรื่องอย่างผมอย่างผมไม่ค่อยมี และอยากให้ร่วมกันสร้างกุศลเพื่อผู้พิการด้วยกัน ซึ่งผมก็ยินดีเพราะการทำบุญ ทำกุศลช่วยเหลือคนนั้นเป็นสิ่งที่ผมชอบทำและทำเสมอเมื่อมีโอกาส แต่ที่ขอลาออกเพราะอยากเปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำบ้าง เมื่อน้องขอให้ทำต่อผมก็ทำด้วยความเต็มใจ






เลยขับรถออกจากบ้านแต่เช้าราวๆ หกโมงเศษ เพื่อไปประชุมตอนเก้าโมง น้องๆ เห็นผมขับรถไปเองก็ถามกันใหญ่ว่า ทำไมไม่ให้คนขับรถของกรมที่ผมเคยทำงานขับให้ ผมก็ตอบน้องๆไปว่า ผมเกษียณแล้วจะให้ไปใช้คนของราชการได้อย่างไร ขนาดตอนเป็นอธิบดี ในวันหยุดและตอนขับรถไปทำงานและกลับบ้าน ผมก็ขับเองมาตลอด เพราะคนขับรถเขาก็ต้องหยุดพัก อยู่กับครอบครัวในวันหยุด น้องๆ ก็พูดไปหัวเราะไปว่า ผมนี่ช่างเป็นคนดีจริงๆ ผมก็บอกน้องไปว่า นี่คือคนธรรมดา ไม่ได้ดีแต่อะไรเลย และทุกคนเขาก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น น้องๆ ได้แต่อมยิ้มไม่ได้พูดอะไร


สถานที่ที่ผมไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์คนพิการหญิง รับคนพิการจากทั่วประเทศมาอยู่ร่วมกัน ราวสี่ร้อยคน แต่มคิวรอเข้าอีกนับร้อยคน ผมแปลกใจที่คนพิการที่มาอยู่ที่สถานสงเคราะห์ส่วนใหญ่มีครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง ทุกคน แต่กลับถูกส่งมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์



เจ้าหน้าที่บอกผมว่า คนเหล่านี้ไม่มีใครยอมดูแลเพราะเห็นว่า เป็นภาระและเห็นว่ารัฐดูแลดีจึงเอามาไว้ให้สถานสงเคราะห์ดูแล บางคนญาติไม่มาเยี่ยมเลย แต่แปลกที่ทุกคนอยากกลับบ้าน แต่คนที่บ้านไม่รับ บางคนได้เงินจากผู้มาทำบุญที่สถานสงเคราะห์เป็นก้อนหลายหมื่นบาท ทางบ้านก็มารับตัวไป พอเงินหมดก็เอามาส่งอีก ไม่ทราบว่าที่รับกลับไปเพราะคิดถึงหรือเพราะอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คนในสถานสงเคราะห์ที่นี่ น่าสงสารทุกคน ตั้งแต่ผู้ดูแลจนถึงผู้รับการสงเคราะห์

ผู้รับการสงเคราะห์น่าสงสารที่ญาติพี่น้องไม่สนใจใยดี แต่ผู้ดูแลน่าสงสารกว่าในความรู้สึกของผม เพราะขนาดผู้รับการสงเคราะห์คนเดียวทางบ้านยังดูแลไม่ไหว แต่ผู้ดูแลแต่ละคนต้องดูแลบุคคลเหล่านี้หนึ่งต่อยี่สิบถึงสามสิบคน ก็ลองคิดดูสิครับ ดูคนปกติยังลำบากแต่นี่ดูแลคนไม่ปกติ จะลำบากแค่ไหน เงินเดือนเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็น้อยมาก เมื่อเปรียบกับคนที่ทำงานอื่นๆ เพราะได้เงินเดือนราวๆ เดือนละหนึ่งหมื่นสามพันบาท ทำงานกี่ปีก็ได้แค่นี้ เพราะเป็นตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวหรือจ้างเหมา ไม่มีการขึ้นเดือนมีแต่จะปลดออก แต่คนเหล่านี้หัวใจเขาน่ากราบ เขารับผิดชอบ เขาผูกพัน เขาดูแลทุกคนอย่างเต็มใจไม่คิดรังเกียจ น่ายกย่องจริงๆ





มูลนิธิก็มีบทบาทสำคัญมากในการดูแลคนพิการในสถานสงเคราะห์แห่งนี้ เพราะหาเงินมาจ้างผู้ดูแลเหล่านี้นับสิบคน ออกเงินค่าจ้างแทนรัฐปีละเป็นล้านๆ โดยไม่ได้ผลตอบแทนอะไร เบี้ยประชุม เงินดาวน์เงินเดือนไม่มีการรับกัน เพราะมาทำงานนี้ต้องใจบุญ ต้องเสียสละ มูลนิธิจะช่วยคนพิการเหล่านี้ตั้งแต่การจัดกิจกรรมบางเรื่องที่รัฐบอกว่าเบิกให้ไม่ได้ เช่น พาน้องๆ ออกไปนอกสถานที่เปิดหูเปิดตา เสื้อผ้านอกจากที่รัฐจัดให้และอื่นๆ อีกหลายอย่าง มูลนิธิและผู้บริจาคร่วมกันช่วยเหลือทั้งสิ้น รัฐก็จัดสรรงบให้ตามที่รัฐมีเงินเท่านั้น คนที่ต้องการเข้าสถานสงเคราะห์มีนโยบายห้ามปฏิเสธจนคนล้น เข้าคิวรอเป็นร้อย แต่ไม่มีวิธีการที่จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ตอนผมเป็นอธิบดีเคยเสนอให้รับเฉพาะคนที่ไม่มีใครดูแล ใครที่มีพ่อ แม่ พี่ น้อง ต้องให้คนเหล่านั้นดูแล ถ้าดูแลไม่ได้ รัฐต้องช่วยทำใหเขาดูแลได้ แต่ข้อเสนอของผมเหมือนลอยไปในอากาศ มันไม่มีใครรับรู้และจับต้องเลย

มีเรื่องที่น่าเศร้าก็คือ ผู้เข้ารับการสงเคราะห์เหล่านี้ได้งบประมาณเป็นค่าอาหารมื้อละไม่ถึงยี่สิบบาท ท่านอ่านไม่ผิดหรอกครับ ได้เท่านั้นจริงๆ ผมเคยพยายามเจรจาขอเป็นมื้อละห้าสิบบาทหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากสวรรค์ ทุกคนที่มีอำนาจพิจารณาก็มักตอบตามๆกันว่า ก็เห็นอยู่กันได้นี่นา มูลนิธิก็มีหลายแห่ง ผู้มาทำบุญก็มี งบรัฐก็จำกัด สรุปไม่มีเงินเพิ่มให้ ก็เลยเป็นหน้าที่ของบรรดามูลนิธิและผู้ใจบุญทั้งหลายต้องช่วยกันเรื่อยมา รวมถึงมูลนิธิที่ผมมาประชุมวันนี้ด้วย

ที่นี่มูลนิธิออกเงินจ้างพี่เลี้ยงเพื่อดูแลผู้รับการสงเคราะห์ ปีละล้านกว่าบาท จ้างได้ราวๆ 12 คน เราเต็มใจที่จะจ้างครับ เพราะสงสารทั้งพี่เลี้ยงที่มีอยู่และผู้รับการสงเคราะห์ ฝ่ายหนึ่งทำงานหนักเกินไป อีกฝ่ายก็ได้รับการดูแลที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน เมื่อมูลนิธิยื่นมือเข้าไปช่วยปัญหาก็ทุเลาลง

แต่เจ้าหน้าที่ก็เล่าให้ฟังว่า ขณะนี้ มีความพยายามที่จะไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำงานร่วมกบมูลนิธิ ทำมูลนิธิต่อไป เพราะกลัวเรื่องประโยชน์ทับซ้อน เจ้าหน้าที่ช่วยเป็นกรรมการมูลนิธิ ช่วยดำเนินการใดๆ ให้มูลนิธิขอให้ลาออกจากมูลนิธิเสีย จะได้ไม่ต้องมีข้อครหาเรื่องประโยชน์ทับซ้อน ผมมาคิดดูประเทศไทยนี่แปลกนะครับ เราทำได้ไม่เต็มที่ มีคนเขาเข้ามาช่วยคนของเราก็ร่วมมือเพื่อทำให้งานเดินไปได้ ซึ่งมันก็เดินได้จริงๆ แต่เรากลับมองว่าเจ้าหน้าที่มีประโยชน์ซ้ำซ้อน เราลืมมองไปว่าคนที่ได้รับประโยชน์จริงๆ คือผู้เข้ารับการสงเคราะห์เพราะเห็นๆ อยู่ว่ามูลนิธิเขาช่วยได้อย่างมาก งบรัฐก็จำกัดไม่เพียงพอต่อการดูแล แต่เราเอาเรื่องประโยชน์ทับซ้อนมาเป็นตัวตั้ง กลัวว่าเจ้าหน้าที่จะโกงก็เลยห้ามเจ้าหน้าที่ยุ่งเกี่ยว บอกตรงๆ มูลนิธิเขาไม่เดือดร้อนหรอกครับ ให้กรรมการลาออกวันนี้เขาก็ลาออกได้ทันที เพราะไม่มีอะไรที่ยึดติด แต่คนที่จะเดือดร้อนคือผู้รับการสงเคราะห์ เราคิดแต่จะสกัดการทุจริตโดยไม่ดูผลกระทบจริงๆ กันเลย

พูดเรื่องนี้แล้วเพลียใจหาของกินกันดีกว่านะครับจะได้อิ่มท้องกัน วันนี้ผมมีเมนูง่ายที่สุดมาทำรับประทานครับ กลับจากมูลนิธิผมก็เข้ากรุงเทพฯ ประชุมอีกหนึ่งประชุมนี่เกษียณแล้วนะครับ (แต่ยังพอมีแรงทำอะไรเป็นประโยชน์ได้ก็ทำไป)เสร็จก็กลับบ้านแวะห้างสะดวกซื้อที่อยู่ตรงข้ามซอยบ้าน ซื้อปีกไก่เต็มหนึ่งกิโล ที่ซื้อปีกเต็มก็มีเหตุผลสองประการ

ประการแรกผมชอบแทะปลายปีก ประการที่สองนี่สำคัญมาก เพราะมันถูกกว่าปีที่แยกเป็นส่วนๆ แล้ว พอถึงบ้านก็จัดการล้างให้สะอาด ผึ่งให้น้ำหยดจากปีกไก่จนหมด ตำกระเทียม พริกไทย ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว อย่าให้เค็มมากเดี๋ยวไตเดือดร้อน คลุกกับปีกไก่ให้เข้ากันใส่ตู้เย็นไว้สักสี่สิบห้านาที เอาออกจากตู้เย็นตั้งกระทะใส่น้ำมันมากหน่อย พอน้ำมันร้อนจัดก็ใส่ปีกไก่ลงไปแล้วหรี่ไฟให้ใช้ไฟปานกลางก็พอ รอจนปีกไก่เหลืองเป็นสีทองก็ช้อนขึ้นใส่ภาชนะเพื่อสะเด็ดน้ำมัน พอไก่เย็นก็กินกับข้าวหรือจะซื้อส้มตำมากินด้วยก็ได้ วันนี้ผมกินแต่ไก่เปล่าๆ เพราะไม่กินข้าวเย็น ล่อซะห้าปีกสบายไป




สมชาย เจริญอำนวยสุข