สัมผัสโลกเวียดนามใต้ กับทริป “ศรีปทุม”



“ต้องนั่งให้เรียบร้อย บุคลิกภาพสำคัญนะลูก” เราได้ยินเสียงคำเตือนของคณบดี  ดร.มณฑิชา เครือสุวรรณ์ คณบดี วิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ “ม.ศรีปทุม” ที่เดินเข้ามาเทียบเคียงกระซิบบอกน้องๆ คณะนักศึกษากว่าร้อยชีวิต ที่ร่วมเดินทางไปทริป เวียดนามใต้ ขณะนั่งรอขึ้นเครื่องหน้า Gate ที่ระบุในตั๋วโดยสาร ภายในสนามบินดอนเมืองช่วงเช้าตรู่ของวันนี้

การเดินทางสู่เวียตนามใต้เกิดขึ้นจากความต้องการให้นักศึกษาหลักสูตรเปิดโลกทัศน์สู่อุตสาหกรรมการบิน สาขาวิชาธุรกิจการบิน ชั้นปีที่ 1 ได้พบกับประสบการณ์ตรงนอกเหนือจากคลาสเรียนในห้อง ซึ่งถือเป็นหลักสำคัญของการเรียนการสอนของวิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ ที่มุ่งเน้นความแตกต่างด้านศักยภาพของเด็ก   

   




“การออกภาคปฏิบัติจะจัดให้สำหรับทุกชั้นปีการศึกษา เช่นเด็กการบิน ปี 1 วิชาเปิดโลกทัศน์สู่อุตสาหกรรมการบิน พาเด็กไปให้เห็นขั้นตอนการเดินทาง ที่ผ่านมาจะจัดไปหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ลาว สิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน”  คณบดีเสริม

นั่นทำให้…. ตั้งแต่เริ่มนั่งรอขึ้นเครื่อง ….การผ่านเข้าสู่ขั้นตม…. การทำงานบนเครื่องบินของเหล่าสาวแอร์และสจ๊วต หรือแม้แต่เมื่อเข้าสู่เมืองเวียต การทำงานของไกด์ในต่างแดน เราจะสัมผัสได้ถึงการบอกกล่าว… เล่าเรื่อง ให้เด็กๆ ได้รับรู้จากคณะอาจารย์ที่ร่วมเดินทางเป็นระยะ ๆ

…. ด้วยเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษ ล้อเจ้านกยักษ์ก็ลงแตะรันเวย์กลางนครโฮจิมินห์ อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนไทย เวลาเท่ากัน แต่ภาษาและค่าเงินไม่เหมือนกัน

ความพร้อมเพรียง การมีวินัย ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่น่าสนใจของเหล่านักศึกษาที่เราร่วมเดินทางมาด้วย ทำให้เวลาเพียงไม่นานเท่าใดนักคณะที่มีผู้ร่วมเดินทางนับร้อยชีวิตก็ขึ้นนั่งบนรถโค้ช …..พร้อมสำหรับการเดินทาง

   

   

“เงินด่อง ตอนนี้ 60,000 ด่องเท่ากับ 100 บาท”

“ผมชื่ออาทิตย์ครับ ต่อจากนี้ผมจะดูแลทุกท่าน หากมีคำถามหรือต้องการปรึกษาเรื่องอะไรยินดีนะครับ” มัคคุเทศน์หนุ่มชาวเมืองเวียตแนะนำตัวผ่านไมโครโฟนจากหน้ารถ ล้อเริ่มหมุนออกจากนครโฮจิมินห์หรือโฮจิมินห์ซิตี้ เมืองใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ซึ่งเราจะกลับมาซิตี้ทัวร์กันในวันสุดท้ายก่อนกลับ

แต่สำหรับวันนี้คณะมุ่งหน้าสู่เมืองมุยเน่ สถานที่ท่องเที่ยวที่ดูจะอันซีนพอสมควรสำหรับนักท่องเที่ยว แถมยังเป็นเมืองยอดฮิตของคนไทยที่รู้จักกันดี

“…. คนเวียดนามจะนอนตอนกลางวัน 2 ชั่วโมง เพราะเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และที่เห็นสัญญลักษณ์ของคนเวียตนาม หมวกที่คนไทยเรียกว่างอบ ภาษาเวียดนามเรียกว่า หนอน จริงๆแล้ว เป็นหมวกที่ชาวไร่ชาวนาใช้กัน” อาทิตย์ เริ่มเล่า

….ชุดอ๋าวหญ่ายเองดั้งเดิมสวมกันทั้งชายและหญิง ปัจจุบันจะเห็นแต่ผู้หญิงที่ใส่ ส่วนเรื่องลูก คนเวียดนามถือว่าลูกสาวเป็นลูกของครอบครัว จะให้ความสำคัญกับลูกสะใภ้มาก และ….. ข้อมูลต่างๆ ของเวียดนามพร่างพรูตลอดทาง

สำหรับการนั่งรถเที่ยวในเวียดนาม สิ่งแรกที่ต้องพยายามให้คุ้นชินคือเสียงการบีบแตรดังสนั่นเมือง แม้คุณไกด์จะบอกว่าเป็นมารยาทที่ดีในการขับรถก็ตาม ภาพมอเตอร์ไซด์ขับฉวัดเฉวียนแบบไม่สนใจใคร ดูจะไม่ชินหูซะจริงๆ

และเพราะการจำกัดความเร็วตลอดทาง ไม่เกิน 50 กม. ต่อชั่วโมง ทำให้การเดินทางสู่เมืองมุยเน่ ระยะทาง 230 กิโลเมตร ใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมง

   

   

เจ้าหน้าที่จัดให้แวะครึ่งทางก็ราวๆ สองชั่วโมงผ่านมา ….เที่ยงแล้ว มื้อกลางวันมื้อแรกในเวียตนามใต้ มาหยุดกันที่ ภัตตาคาร Cao Phat เมือง Dong Nai ทางผ่าน สู่ฟานเทียต ที่นี่เหล่านักศึกษาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมพร้อมในการลุยลำธารนางฟ้าสถานที่เที่ยวแรก แต่ระหว่างทางไปยังเมืองฟานเทียต จะเห็นท่าเรือมุยเน่ ที่ที่เป็นหมู่บ้านชาวประมงเวียดนามที่ยังคงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่แบบดั้งเดิม โดยเฉพาะเรือกระด้ง ที่จอดลอยลำเต็มท่าเรือ สร้างความแปลกตาให้กับเราๆ พอสมควร



เมืองมุยเน่ (Mui Ne) ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลของจังหวัดบิ่ญถ่วน (Binh Thuan) ในภูมิภาคภาคกลางตอนใต้ ของประเทศเวียดนาม มีชื่อเสียงในเรื่องของชายหาดทอดยาว สวยงาม และเงียบสงบ กินบริเวณชายหาดยาวนับสิบกิโลเมตร

ลำธาร Fairy Stream

เมื่อรถจอดเทียบสนิทบนลาน ทางลงสู่ลำธาร มีร้านค้าขายของที่ระลึกรับฝากรองเท้าสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อให้เดินลงไปชื่นชมความงดงามของธรรมชาติที่รออยู่เบื้องหน้า

   

“…. ลำธาร Fairy Stream หรือแกรนด์คอนยอนแห่งเวียดนาม เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลมเป็นลำธารลึกกว่า 20 เมตร เปิดให้เห็นชั้นของดินและทรายหลากสี ซึ่งล้วนแต่ถูกรังสรรด้วยธรรมชาติ ที่ชาวบ้านเรียกว่าลำธารนางฟ้าเพราะเป็นลำธารที่มีความสวยงาม น้ำสูงสัก 10-20 เซนติเมตร สามารถลุยน้ำเข้าไปพบกับความมหัศจรรย์นี้ได้

ฝากรองเท้าเรียบร้อย เริ่มลุย ระหว่างทาง จะพบแม่ค้าพ่อขายตั้งโต๊ะอยู่ริมน้ำ พร้อมเปลและเก้าอี้พลาสติกขนาดเล็กๆ เอาไว้ให้บริการ ร้านขายขนมหน้าตาเหมือนข้าวเกรียบ เรียกว่าอะไรหนอ ลืมแล้ว…เราแอบคิดในใจ

“อันละ 20,000 ด่อง ค่ะ” เสียงแม่ค้าชาวเวียดพูดไทยเสียงดังฟังชัด ท่าทางจะเจอคนไทยบ่อย

   

   

เราเดินเข้าไปตามแนวลำธาร เท้าแตะผืนทรายเกร็ดเม็ดเล็กทำให้นุ่มเท้ากว่าที่คิด ที่นี่แต่เดิมเป็นที่ของชาวบ้านซึ่งเกิดจากธรรมชาติมานานแล้ว จนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยว พอเห็นแล้วบอกต่อๆกัน ทำให้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม โดยเฉพาะชาวรัสเซีย

   

   

   



สีสันของเนินทราย แคนยอนที่ถูกน้ำกัดเซาะ สวยงามจริงๆ แต่ละคนต่างแยกย้ายกันหามุมอัพเฟซ งานนี้ใครใคร่ถ่ายๆ ใครใคร่โดด โดด เต็มที่กันเลยทีเดียว

ที่นี่ไม่เสียค่าเข้า สามารถเดินเข้ามาลุยลำธารสู่แกรนด์แคนยอนเวียดนามได้ใช้เวลาเดินไปเดินกลับราวครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่ช่วงเวลาของการแวะถ่ายภาพ

“เห็นมั๊ยคะ พี่ไกด์เขาคอยแนะนำอะไรเรา และคอยดูแลลูกค้าอย่างไรบ้าง” อาจารย์น้ำฝน ลัคณา สันติณรงค์  ชี้การทำงานของ “อาทิตย์” ให้กับน้องๆ นักศึกษาดู

“เรามีหลักสูตรเกี่ยวกับมัคคุเทศน์ ซึ่งเด็กๆ จะได้ลงพื้นที่เพื่อทำงานจริงตามจังหวัดต่างๆ ครบตามข้อกำหนดของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เช่น เมืองกาญจน์ เชียงใหม่ บุรีรัมย์ ภูเก็ต เป็นต้น เด็กจะได้เรียนรู้ศิลป วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของสถานที่แต่ละแห่งด้วยประสบการณ์จริง นั่นทำให้เด็กๆ สามารถยึดอาชีพไกด์ได้เลยหลังเรียนจบ” คณบดี กล่าวเสริม  

   

เพราะทุกวันนี้นอกจากไกด์จะทำหน้าที่ดูแลและคอยบอกเล่าถึงความสำคัญของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญคือ….

“มุมนี้คัพ… มุมนี้สวยมาก ส่งมือถือมาเลยคัพ ….ผมถ่ายให้”

ทะเลทรายขาว

หลังจากนั้น คณะของเราก็ไปกันต่อที่ ทะเลทรายขาว(Bau Trang) ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองมุยเน่ ห่างไปประมาณ 20 กิโลเมตร มีทะเลสาบที่สวยงามขนาบข้างเนินทราย เรียกว่า “ทะเลสาบ Bau Trang” ซึ่งครอบคลุมเนื้อที่ 70 เฮกเตอร์ กว้างราว 500 เมตร และลึกประมาณ 19 เมตร



พร้อมกับกิจกรรมสุดจ๊าบ การเช่ารถจิ๊ป หรือรถ เอทีวี ตะลุยเนินทราย หรือจะสนุกสนานกับการเล่นแซนด์ดูนลื่นไถลมาจากเนินสูงกว่า 40 เมตร กิจกรรมแอดเวนเจอร์กับรถจิ๊บ 1 คันนั่งได้ 6 คน ค่าบริการ 6 แสนด่อง เงินไทยราว 1,000 บาท โชเฟอร์จะส่งถึงบนเนิน ลงจากรถสามารถถ่ายรูปได้เลย รถเอทีวี คันหนึ่งนั่งได้ 2 คน 45,000 ด่อง เงินไทยราว 800 บาท

แต่ขอบอก … ไม่ได้ขับธรรมดา ตั้งแต่โชเฟอร์เริ่มเหยียบคันเร่ง เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดกันแบบสุดๆ ด้วยเพราะเนินทรายสูงต่ำลดหลั่นกัน ทำให้ต้องอาศัยแรงส่งของการขับและความเชี่ยวชาญ ชำนาญอย่างมากจากผู้ขับขี่ ทำเอาหวาดเสียวไปตามๆกัน

แต่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าลอง สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนทีเดียว แล้วแต่จะเลือกเช่ารถจิ๊ปหรือรถ ATV ตะลุยเนินทรายหรือจะสนุกสนานกับการเล่นเซนต์ดูน

  

    

   

ด้วยเพราะบริเวณทะเลทรายขาว มีทะเลสาปกว้างใหญ่ ถักทอสีท้องฟ้าเข้ากับทะเลทรายอย่างสวยงามยามอาทิตย์ใกล้ลาลับเช่นนี้ นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจแก่ผู้มาเยือนอีกแห่งหนึ่งทีเดียว





หลังจากนั้น คณะนับร้อยชีวิตของเราก็เดินทางมายังที่พัก Peach , Tjao Ha โรงแรมริมหาดที่อยู่ไม่ไกลกันนัก

   

…………………………………………………………………………………………………………………


รุ่งอรุณวันใหม่

    …. วันที่สองในเมืองมุยเน่ เช้านี้เพื่อไม่ให้ต้องพบกับอากาศที่ร้อนจนเกินไป ไกด์ได้พาคณะของเรามายังทะเลทรายแดง อีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมเช่นกัน แต่เป็นทะเลทรายที่มีเนินไม่สูงและกว้างมากนัก สามารถเดินขึ้นไปบนเนินเพียง 300 เมตรเท่านั้น

   

   

รถโค้ชจอดนิ่งสนิทด้านหน้าร้านขายของที่ระลึก ฝั่งตรงข้ามทางขึ้นทะเลทรายแดง ที่นี่ แว่วมาจาก อาทิตย์ ไกด์คนเดิมว่า “ต้องแวะชิมน้ำมะพร้าวอ่อนนะครับ ที่นี่อร่อยมาก ลูกละ 30,000 ด่อง ประมาณ 50 บาทไทย”

เราเห็นนักท่องเที่ยว เล่นกระดานลื่นไหลกันลงมาเป็นระยะๆ ด้วยเพราะเมื่อวานสุดกรี๊ดกันกับทะเลทรายขาวมาแล้ว วันนี้ทะเลทรายแดงเลยดูจิ๊บๆไปนิดนึง แต่ก็ยังสวยงามสำหรับช่างภาพอยู่ดี สีฟ้าเข้มตัดกับสีส้มแดงของเนินทราย สวยงามไม่แพ้กัน

   

   

  

 

หลังมื่อเที่ยง มุ่งหน้ากันสู่โฮจิมินห์ ผ่านเมือง ผ่านทุ่งนาฟ้ากว้าง ผ่านแม่น้ำด่งนาย ผ่านวัว ผ่านควายริมทาง นานนับชั่วโมง และแล้วก็ถึง….โปรแกรม ซิตี้ทัวร์

   

   

นครโฮจิมินห์หรือโฮจิมินห์ซิตี้ เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียตนาม ไซ่ง่อนเป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ เมื่อเวียดนามเหนือยึดได้จึงเปลี่ยนชื่อเป็นนครโฮจิมินห์ ตามชื่อผู้นำเวียดมินห์คือ โฮจิมินห์

   

   

ก่อนจะไปวัด ก็ต้องแวะทานอาหารกันก่อน ที่ภัตตาคารกลางเมือง

   

   



วัดเทียนหาว

ย่านไชน่าทาวน์ วัดเทียนหาวหรือวัดเจ้าแม่สวรรค์ ถือเป็นวัดเก่าแก่อายุเกือบ 300 ปี เป็นวัดจีนที่เป็นที่เคารพบูชาของชาวเวียดนามเชื้อสายจีน สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับแม่พระผู้คุ้มครองชาวเรือ เปรียบได้กับศาลเจ้าแม่ทับทิมในเมืองไทย นอกจากนี้วัดเทียนหาวยังโดดเด่นด้วยรูปเคารพเจ้าแม่ทับทิม เทพเจ้ากวนอูและรูปเคารพอื่นๆ อีกหลายองค์

   

   

“เชิญทางนี้ครับ ไหว้พระขอพร ถ้าต้องการจุดธูป 20,000 ด่องคร้าบบ” อาทิตย์ ตะโกนแข่งกับเสียงบีบแตรจากนอกวัดที่เล็ดลอดให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ

ธูปขดเป็นวงถูกจุดจากปลายขด เจ้าหน้าที่จัดแขวนห้อยระย้าเหนือหัวหลังขอพร กลิ่นธูปควันลอยโขมงโฉงเฉง น้ำตาเริ่มไหลพราก

…เคยแอบนึกอยู่เสมอมาว่า การขอพรที่ต่างประเทศ ท่านจะเข้าใจภาษาเราไหมหนอ? แต่ก็อดไม่ได้สักที

   

   



เก็บภาพกันสักพักก็เดินลัดเลาะกลับออกมาเตรียมขึ้นรถ มีร้านกาแฟสไตล์เมืองเวียตแบบ open air การจัดที่นั่งจะหันหน้าออกนอกร้าน เรียงหน้ากระดาน รอรับผู้มาเยือนหน้าสลอน 555





เราก็ได้ลองนั่งเป็นปลาทองกะเขาเหมือนกัน ….รอคอยการหยดติ๋ง หยดติ๋งของเจ้ากาแฟสีเข้มจากภาชนะเอกลักษณ์ของเมืองเวียด กาแฟเข้มข้นมาก แม้ไกด์จะเตือนว่า ใช้เวลาพอสมควรกับการรอคอยให้กาแฟหยดติ๋ง แต่สำหรับเราก็น่าลองรอคอยบ้างไม่ใช่รึ?

กำเอิน… ขอบคุณ

แล้วก็ถึงเวลาเดินทางกันต่อสู่ ทำเนียบอิสรภาพ

ทำเนียบอิสรภาพ



          ทำเนียบอิสรภาพ จากเอกสารบอกว่า เป็นทำเนียบของอดีตประธานาธิบดีเวียดนามใต้ และทำเนียบผู้ว่าการฝรั่งเศสเรียกว่าทำเนียบโนโรโดม เคยถูกระเบิดทำลายในปี 2506 ก่อนจะสร้างอาคารขึ้นมาใหม่จึงให้ชื่อว่า ทำเนียบอิสรภาพ เป็นอาคารที่ออกแบบโดย โงเวียดทู ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้

หลังจ่ายตังค์ค่าเข้าชมเรียบร้อยก็เดินเรียงกันเข้าสู่รั้วทำเนียบ แต่ก่อนจะไปต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันก่อน ด้านหน้าทำเนียบ ธงจากประเทศต่างๆ เรียงรายโบกสะบัด ธงไทยก็อยู่ท่ามกลางนานาชาติเหมือนกัน

   

“เรามารวมกันที่นี่ก่อนนะครับ“ ไกด์อาทิตย์ พาคณะหยุดกันที่โถงกลางทำเนียบ ก่อนจะเริ่มอธิบายที่มาของทำเนียบแห่งนี้

อ้อ… หลายท่านอาจแปลกใจทำไม ไกด์เวียดนามชื่อ ไท๊ไท ลืมบอกไปว่า ชื่ออาทิตย์นี่ เขาเลือกเองเลย เป็นชื่อไทยที่ใช้เมื่อเขาไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เมืองไทยสมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน และใช้ต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ ส่วนชื่อเวียดนาม เขาบอกแล้วหล่ะ แต่….จำไม่ได้

   

   

มาว่ากันที่ทำเนียบอิสรภาพกันต่อ

ที่นี่ถูกแบ่งเป็นหลายๆ ห้อง ซึ่งมีอยู่หลายชั้น ชั้นล่างเป็นห้องจัดเลี้ยง ห้องโถงใหญ่ที่รัฐบาลเวียดนามใต้ประกาศยอมแพ้ ชั้นสองเป็นห้องรับรองของประธานาธิบดีตรันวันเฮือง ห้องพักของประธานาธิบดีเหงียนวันเทียว ห้องอาหาร ห้องสวดมนต์คาทอลิก

ชั้นสามเป็นห้องรับรองของภริยาประธานาธิบดี ชั้นสี่เป็นห้องฉายภาพยนตร์ส่วนตัวและลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมองลงไปข้างล่างจะเป็นทิวทัศน์งดงามของถนนเลหย่วนได้ชัดเจน

อุโมงค์ชั้นใต้ดินเป็นห้องบัญชาการทหารสูงสุดสมัยก่อนของเวียดนามใต้  คำสั่งในช่วงสงครามจะมาจากที่นี่ ดูเทียบกับอุโมงค์กู๋จีของเวียตนามเหนือฝ่ายคอมมิวนิสต์ แล้วเทียบกันไม่ติดเลย ซึ่งพรุ่งนี้เราจะเดินทางไปชมกัน

   

   

“เวียดนามเหมือนกับเป็นสนามประลองอาวุธของสองประเทศมหาอำนาจ สมัยนั้นต่างฝ่ายต่างเอาอาวุธมา รบกันในเวียดนาม เวียดนามใต้ก็อเมริกา เวียดนามเหนือก็โซเวียต” ความขมขื่นเผยออกมาในน้ำเสียงของไกด์ชาวเวียดคนเดิม

ส่วนบัญชาการในช่วงสงคราม มีห้องภาพยนตร์จัดฉายเหตุการณ์ในช่วงสมัยสงคราม ยังเห็นห้องวิทยุสื่อสาร ห้องที่เต็มไปด้วยแผนที่ทางทหารขนาดใหญ่ และอื่นๆอีกมากมาย

   

   

   เดินวนรอบจนมาสุดที่ ร้านขายของที่ระลึก …. ช้อปกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาอาหารกลางวันก่อนจะไปซิตี้ทัวร์กันต่อ อีกหนึ่งแห่งที่แทบจะทุกทัวร์ ทุกทริป หากมาซิตี้ทัวร์จะต้องไม่พลาด

โบสถ์นอร์ทเทรอดาม


หลังทานอาหารกลางวัน เดินทางสู่โบสถ์นอร์ทเทรอดาม โบสถ์หลังคาสูงที่สร้างในสมัยที่เวียดนามยังอยู่ในอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยสร้างเพื่อให้เป็นโบสถ์ประจำเมืองไซ่ง่อนและได้สร้างตามต้นแบบของประเทศฝรั่งเศส

“จะเห็นว่าในเวียดนามพบแต่โบสถ์คริสต์แบบเก่าๆ ไม่มีการสร้างใหม่ เพราะในช่วงสมัยสงคราม มีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นสายลับอเมริกาปลอมตัวเป็นบาดหลวง เป็นกลุ่มที่ต่อต้านกับระบบการปกครอง ทำให้ชาวเวียดนามกลัวผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ที่เข้ามาสอนศาสนา เวียดนามจะคอยระมัดระวัง

โบสต์คริสต์ในเวียดนามรัฐบาลไม่อนุญาตให้สร้างใหม่ เพราะยังคงเกรงในเรื่องเดิมอยู่ ที่เวียดนามใครที่เล่นการเมืองและในครอบครัวนับถือคริสต์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงเลือกตั้ง หรือใครที่มีญาติเป็นทหารอเมริกาเก่า ก็จะตัดสิทธิ

ปัจจุบันเวียดนามปกครองพรรคเดียวเหมือนในเยอรมันคือเป็นเขตท้องถิ่นแต่ละจังหวัดปกครองเองแต่อยู่ในความดูแลของรัฐบาลกลาง”

        



ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว ที่เราได้มีโอกาสมายืนอยู่หน้าโบสถ์นอร์ทเทอดรามแห่งนี้ โดยที่ไม่มีโอกาสได้เข้าไปเห็นบรรยากาศภายในสักครั้ง เช่นนี้ก็เช่นกัน

เดินข้ามมาข้างๆ โบสถ์จะพบไปรษณีย์กลาง ซึ่งสวยงามจากสถาปัตยกรรม สีสัน และการตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน ดูจะเป็นอีกแห่งหนึ่งที่พาให้นักท่องเที่ยวเข้ามาส่งโปสการ์ด ถ่ายรูป และนั่งพักผ่อนหย่อนใจกันเต็มไปหมด แม้แต่ wedding เองยังมาจัดฉากถ่ายภาพกันอยู่หน้าอาคาร

   

   

   

   

แต่ที่น่าสนใจอีกที่คือถนนคนเดิน ด้านข้างอาคารไปรษณีย์กลาง นอกจากจะมีร้านรวงที่หลากหลายแล้ว ยังเป็นแหล่งแสดงฝีมือลายมือมาอวดแข่งโชว์กัน พร้อมกับการเปิดหมวกของวัยรุ่น มีให้เห็นตลอดสาย

   

   



   

ถ่ายรูปกันเสร็จสรรพก็ได้เวลาไปต่อ คราวนี้รถโค้ชขนาดใหญ่จอดเทียบเคียงกันที่บริเวณริมถนนใกล้ๆ กับอนุเสาวรีย์ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ลุงโฮชูมือ อยู่ด้านหน้าศาลากลางก่อสร้างด้วยสถาปัตยากรรมแบบฝรั่งเศส

อนุเสาวรีย์ประธานาธิบดีโฮจิมินห์

          โฮจิมินห์  Hồ Chí Minh, โห่ จี๊ มิญ แปลว่า แสงสว่างที่นำทาง เป็นนักปฏิวัติชาวเวียดนาม ซึ่งในภายหลังได้กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ) หลังจากสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ไซ่ง่อน เมืองหลวงเก่าของเวียดนามใต้ ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นโฮจิมินห์ซิตี เพื่อเป็นเกียรติแก่โฮจิมินห์ ชาวเวียดนามถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการประกาศอิสรภาพของเวียดนาม



สำหรับคนไทย รู้จักโฮจิมินห์ ในนาม “ลุงโฮ” เนื่องจากเคยเข้าไปพำนักอยู่ในเมืองไทย ที่จังหวัดนครพนม

   

จากข้อมูล บอกไว้ว่า ในช่วงที่โฮจิมินห์หลบหนีจากจีน  โดยบวชเป็นพระภิกษุทำการสอนลัทธิสังคมนิยมให้ชาวไทย ช่วงแรกที่หลบหนีในประเทศไทยนั้นเริ่มจากขึ้นเรือที่ท่าน้ำเอสบี (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงแรมแม่น้ำ) ไปยังจังหวัดพิจิตร จากนั้นได้เดินทางไปต่อยังจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย โดยใช้ชื่อว่า “เฒ่าจิ๋น” ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2466 ไปจนถึง พ.ศ. 2474 ท่านได้พำนักอยู่ ณ บ้านของนายเตียว เหงี่ยนวัน เลขที่ 48 หมู่ที่ 5 บ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม รวมเวลาพำนักอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น 7 ปี

โฮจิมินห์ต้องเดินทางไปหลบซ่อนในหลายประเทศ ใช้ชื่อปลอมหลายชื่อ ซึ่งครั้งหนึ่ง โฮจิมินห์ได้ถูกตำรวจฮ่องกงจับโดยไม่มีความผิด ได้ถูกขังคุกนานเป็นระยะเวลานาน 1 ปีเต็ม ในช่วงนี้โฮจิมินห์สภาพร่างกายย่ำแย่มาก เป็นโรคขาดสารอาหาร แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือให้พ้นออกมา จากเพื่อนเก่าในสมาคมชาวเวียดนามในฝรั่งเศส รวมถึงเชื่อว่ามี โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งเป็นสหายที่ดีต่อโฮจิมินห์ร่วมด้วย

วันนี้บริเวณด้านหน้าอนุเสาวรีย์โฮจิมินห์ กลายเป็นแลนด์มาร์คสำหรับเมือง ด้านหน้าถูกออกแบบขยายพื้นที่ให้เป็นลานกว้างยาวตลอดหลายร้อยเมตร ด้านข้างลุงโฮประดับด้วยสระบัว ขณะที่อาคาร ร้านค้า โรงแรม แหล่งช้อปปิ้ง ทัวริสต์อินฟอร์เมชั่น ก็ตั้งอยู่บริเวณรายรอบ เรียกว่าเจริญขึ้นมากจากเมื่อหลายปีก่อนที่เราเคยมาเยือน

   

   

การเจริญเติบโตของเมือง ยังคงขยับพุ่งขึ้นเรื่อยๆ บริเวณใกล้เคียง เราเห็นส่วนของโครงการก่อสร้าง ที่ได้รับการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่นในความร่วมมือก่อสร้างรถไฟใต้ดิน คาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เวียดนามกำลังก้าวไปข้างหน้าทั้งเศรษฐกิจการค้าและสาธารณูปโภคต่างๆ ถือเป็นอีกประเทศหนึ่งในแถบเออีซีที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนชาวไทย

ก้าวต่อไปของเมืองเวียดจะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป

      

   

   

   

แต่ตอนนี้ …ได้เวลาไปล่องเรือชมแม่น้ำไซ่ง่อนกันก่อน ภัตตาคารบนเรือที่จะพาล่องชมบรรยากาศสองฟากฝั่งแม่น้ำยามค่ำคืน เป็นการปิดทริปสำหรับวัน

   

   

   

   

   

   







………………………………………………………………………………………………….

วันสุดท้ายของทริป

          อุโมงค์กู๋จี

อุโมงกู่จี อุโมงค์ของชาวเวียดนามที่ขุดขึ้นขนาดพอดีกับตัว เมื่อครั้งสมัยที่ทำสงครามกับทหารเวียดนามใต้และกองทัพอเมริกัน รวมถึงกองทหารพันธมิตรจากนานาประเทศที่ชาวเวียดนามต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อุโมงแห่งนี้ ซึ่งในอดีตเคยมีชาวเวียดนามอาศัยอยู่ถึง 80,000 คนในระหว่างการเกิดสงคราม และยังเคยใช้เป็นที่บัญชาการทางทหารและเป็นหลุมหลบภัย มีความยาวกว่า 200 กิโลเมตร และอุโมงค์นี้สามารถทะลุออกสู่แม่น้ำไซ่ง่อนได้ด้วย

      

   

“ ทหารอเมริกันตัวใหญ่ ทหารเวียดนามจึงทำอุโมงค์ขนาดเล็กเพียงแค่ตัวเขามุดไปมาได้เท่านั้น ในบางมุมจะขุดเป็นหลุมพราง บางจุดถูกขุดขึ้นเพียงแค่ตัวสอดเข้าไป และเมื่อปิดบังด้วยต้นไม้ใบหญ้าทำให้ดูแทบไม่ออกว่ามีทหารเวียดนามหลบอยู่ ทหารอเมริกันจะเรียกว่า ผีทหารเวียด เพราะไม่เคยเห็นตัวคนที่เขาต่อสู้เลย เพราะในช่วงปกติเขาก็จะทำนา ทำไร่ แต่คนเหล่านั้นจริงๆ คือทหารที่พร้อมจะสู้อย่างถวายชีวิตต่อสงคราม” ไกด์อาทิตย์ เล่าเสียงดังฟังชัด

จากทางเข้า ถูกจัดพื้นที่เอาไว้หลายโซน ตั้งแต่ทางเข้าบอร์ด แต่ละทางเข้าสู่อุโมงค์ บ่งบอกการต่อสู้ ยุทธวิธีทางทหารในแบบกองโจร อาวุธที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายเพื่อต่อกรกับอาวุธขนาดใหญ่ของชาติมหาอำนาจ ภูมิปัญญาที่ทำเอาทหารของชาติมหาอำนาจต้องพ่ายแพ้ อุโมงค์ กู๋จี ให้ข้อคิดมากมาย สำหรับผู้ทำให้เกิดสงคราม ที่สุดแล้วไม่มีใครเลยที่ชนะ

   

   

   

   

   

   


แม้อดีตจะโหดร้าย แต่ในความโหดร้าย หดหู่นั้น ณ วันนี้ ความเป็นนักสู้ ความรักชาติและความอดทนอย่างที่สุดของชาวเวียดนามได้ประกาศให้กับชาวโลกได้รับรู้แล้วผ่านการเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยวที่มีปริมาณมากขึ้นและไม่ลดน้อยถอยลง

   

สลัดจากความโหดร้ายของสงคราม………………..

ตลาดเบนถัน

เราเดินทางกันกลับไปยังตลาดเบนถัน ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ตลาดขนาดใหญ่และมีอายุเกือบร้อยปี มีสินค้าสารพัดชนิด ทั้งสินค้าพื้นเมือง สินค้านำเข้า ของที่ระลึก อาหารเครื่องดื่มต่างๆ สถานที่สุดท้ายก่อนบินกลับเมืองไทย

“ที่นี่ สามารถต่อรองสินค้าได้ ถ้าจะซื้ออะไร ต่อแล้วถ้าไม่ให้ ให้เดินไปหนึ่งก้าว สักพักเขาก็จะเรียกกลับมา” ไกด์ อาทิตย์แนะวิธีต่อรองสินค้าที่ดูเหมือนจะบอกราคากันเผื่อคนไทยต่อเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ใครจะเก่งกว่ากัน ระหว่างไทยกับเวียดนาม แต่เราเชื่อเหลือเกินว่า เรื่องการต่อรองราคา ไทยแลนด์ไม่เป็นสองรองใคร 555

หลายคนซื้อสินค้าจนเพิ่มกระเป๋าลูกอีกหนึ่งใบ ขณะที่อีกหลายคน เลือกที่จะนั่งดื่มกาแฟตามร้านใกล้ๆ เช่นเดียวกับอีกหลายคนเลือกที่หยิบมือถือมาเซลฟี่กัน

   

   

………………………………………………………………………………………………………………………………………………

  แล้วเวลาแห่งการเดินทางก็สิ้นสุดลง ………..เตรียมตัวมุ่งหน้ากลับไทยแลนด์ 

                  สำหรับเรา www.btripnews.net แม้จะเคยมาเยือนเมืองเวียดหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม …การเดินทางในแต่ละครั้งยังคงทำหน้าที่ในการให้ประสบการณ์ …ให้ได้จดจำเสมอมา เพราะในแต่ละครั้ง …หลายสิ่งอาจเหมือนเดิม สถาปัตยกรรมอาจเหมือนเดิม อนุเสาวรีย์อาจเหมือนเดิม ถนนหนทางอาจเหมือนเดิม

                  แต่สิ่งที่ไม่เคยเหมือนเดิม คือผู้คนและความประทับใจ โดยเฉพาะกับทริปนี้ กับวิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ ….. แล้วพบกันอีกนะ

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

ขอขอบคุณ

ดร.มณฑิชา เครือสุวรรณ์ คณบดีวิทยาลัยการท่องเที่ยวและบริการ 

อ.สละ แย้มมีกลิ่น ผช.คณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา 

อ.ลัคณา สันติณรงค์

อ.ณัฏฐมน เผ่าพันธุ์

อ.เมธาวี ธรรมเกษร

อ.สกล สุชาตวุฒิ