ก.แรงงาน จับมือ ร.พ.จุฬาภรณ์ รักษาผู้ประกันตนโรคหัวใจ 24 ชม. ไม่ต้องสำรองจ่าย
กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ ร.พ.จุฬาภรณ์ ลงนามบันทึกข้อตกลงให้บริการทางการแพทย์ผู้ประกันตนโรคหัวใจและหลอดเลือดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องสำรองจ่าย ไม่เสียค่าส่วนเกิน เข้าถึงการรักษารวดเร็ว ทันเวลา ลดอัตราการเสียชีวิต ยกระดับบริการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการทางการแพทย์ตามโครงการรักษาหัวใจ 7/24 เฉลิมพระเกียรติ ระหว่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และสำนักงานประกันสังคม ณ ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ ศูนย์ประชุมสถาบันจุฬาภรณ์ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญในการดำเนินการยกระดับคุณภาพการบริการสาธารณสุขและสุขภาพของผู้ประกันตน โดยพัฒนาระบบประกันสุขภาพ จัดบริการการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและเท่าเทียม ซึ่งปัจจุบันกระทรวงแรงงานโดยสำนักงานประกันสังคม มีโรงพยาบาลเครือข่ายระบบประกันสังคมอยู่ทั่วประเทศจำนวน 237 แห่ง แบ่งเป็น โรงพยาบาลรัฐบาล 159 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน 78 แห่ง ซึ่งดูแลสิทธิประโยชน์ของแรงงานซึ่งเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม จำนวนทั้งสิ้น 12,965,913 คน แบ่งเป็น ผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 11,475,042 คน มาตรา 39 จำนวน 1,490,871 คน (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2561) พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อไปว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการทางการแพทย์ตามโครงการรักษาหัวใจ 7/24 เฉลิมพระ เกียรติเพื่อให้ผู้ประกันตนหรือผู้ป่วยที่อยู่ในวัยทำงานสามารถเข้ารับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยทำหัตถการ 7 หัตถการ ประกอบด้วย 1) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ 2) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจและขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน 3) การ ศึกษาสรีระวิทยาไฟฟ้าหัวใจ และการจี้ไฟฟ้าหัวใจ 4) การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ไฟฟ้าในการสร้างภาพ 3 มิติ 5) การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบถาวรชนิดสองห้อง 6) การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจถาวร และ 7) การใส่เครื่องสมานฉันท์หัวใจ ในภาวะหัวใจล้มเหลว ในห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและหลอดเลือด ณ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษา และไม่เสียค่าส่วนเกิน รักษาด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย ดูแลผู้ประกันตนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้รับการรักษาตามมาตรฐานสากล และสามารถกลับเข้าทำงานได้ตามปกติ สามารถสร้างรายได้ และความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติต่อไป ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขปัจจุบัน พบว่า สถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเฉลี่ยอยู่ที่ 7,000 ล้านบาทต่อปี เฉพาะในปี 2557 มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 54,530 ราย ส่งผลกระทบต่อการสูญเสียทรัพยากรในวัยทำงาน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ทันเวลา จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลง สามารถกลับคืนสู่การทำงานได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง