ก.เกษตรฯ จับมือ คปภ. ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธี ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้ วยความร่วมมือทางวิ ชาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้ านการประกันภัยการเกษตรระหว่ างสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกั บและส่งเสริมการประกอบธุรกิ จประกันภัย (คปภ.) โดยมีนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิ
จการเกษตร และ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่ งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นผู้ลงนาม ณ ห้องประชุ มกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเผยแพร่ผ่านระบบออนไลน์ ZOOM Meeting ว่า จากการที่เกษตรกรต้องประสบปั ญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิ ดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิ ตทางการเกษตรและส่งผลกระทบต่ อรายได้และความเป็นอยู่ ของเกษตรกรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ โดยที่ผ่านมาภาครัฐต้องใช้ งบประมาณจำนวนมากในการชดเชยและเ ยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ดังนั้นเพื่อเป็นการลดภาระทางด้
านงบประมาณและสร้างความมั่ นคงในการประกอบอาชีพของเกษตรกร ภาครัฐจึงได้เร่งพัฒนาระบบประกั นภัยการเกษตรให้เป็ นกลไกในการบริหารจัดการความเสี่ ยงจากผลกระทบของภัยพิบัติ ทางธรรมชาติและความเสี่ยงในรู ปแบบอื่น ๆ และได้กำหนดให้การประกันภั ยการเกษตรเป็นหนึ่งในนโยบายสำคั ญของการพัฒนาภาคการเกษตรอย่างยั่ งยืนในระยะยาว จึงเป็นที่มาของการพั
ฒนาระบบการประกันภัยสินค้ าเกษตรที่เหมาะสมและสร้างแรงจู งใจให้เกษตรกรหันมาใช้การประกั นภัยเป็นเครื่องมือในบริหารจั ดการความเสี่ ยงในการทำการเกษตรได้ในทุก ๆ มิติ ซึ่งจะเป็นการสร้างความเข้มแข็ งและส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในที่ สุด สำหรับการร่วมมือกันของทั้ง 2 หน่วยงานในวันนี้ จะเป็นการนำความรู้ ความชำนาญ และความเชี่ยวชาญมาสร้างความร่ วมมือทางวิชาการและการแลกเปลี่ ยนข้อมูลด้านการประกันภั ยการเกษตร ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้ นและโอกาสที่ดีที่จะร่วมกั นในการพัฒนาระบบประกันภัยสินค้ าเกษตรอย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมถึงพื ชผลทางการเกษตร ปศุสัตว์ ประมง ป่าไม้ และบริการทางการเกษตร โดยจะมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกั นภัยใหม่ ๆ ที่จะสามารถตอบโจทย์และสร้ างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาใช้ การประกันภัยเป็นอีกหนึ่งทางเลื อกในการบริหารจัดการความเสี่ ยงในการทำการเกษตร ถือเป็นการต่ อยอดนโยบายของกระทรวงเกษตรและสห กรณ์ที่จะ “สร้าง เสริม ยก” นั่นหมายถึง สร้างความเข้มแข็ง เสริมภูมิคุ้มกัน และยกระดับคุณภาพชีวิ ตของเกษตรกรไทยให้มีความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้น "ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มี นโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิ ตและรายได้ให้เกษตรกร โดยมีมาตรการต่าง ๆ ทั้ง การตลาดนำการผลิต การลดต้นทุน Agri map การแปรรูป รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวั ตกรรม เป็นต้น แต่สิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้คื อภัยธรรมชาติต่าง ๆ และที่สำคัญคือโควิด-19 ซึ่งจากการที่รัฐบาลต้องใช้ งบประมาณจำนวนมากในการชดเชยและเ ยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ขอยืนยันว่าไม่ใช่ภาระของรัฐบาล แต่เป็นหน้าที่ที่รัฐบาลต้องดู แล แต่ก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ ค่าใช้จ่ายนี้ลดน้อยให้มากที่สุ ด ซึ่งการลงนามในครั้งนี้ ถือเป็นทางเลือกใหม่ ที่มีมาตรฐานและสามารถสร้ างความมั่นใจให้กับพี่น้ องเกษตรกร โดยโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ ในภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้เกษตรกรมีความตื่ นตัวในการพัฒนาตัวเองและสร้ างความเข้มแข็งด้วยตัวเอง รวมไปถึงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ ประกอบการด้านการเกษตร และรัฐบาลยังสามารถนำเม็ดเงิ นไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นได้อี กด้วย" ดร.เฉลิมชัย กล่าว ด้านนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิ จการเกษตร กล่าวว่า สศก. มีความประสงค์ที่ จะขยายขอบเขตของการประกันภั ยในปัจจุบันไปสู่สินค้าเกษตรชนิ ดอื่น ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือ ดูแล และคุ้มครองพี่น้องเกษตรกรไทย นอกเหนือไปจากข้าวนาปีและข้ าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามนโยบายของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจ พืชรอง หรือสินค้าเกษตรที่มี อนาคตทางการตลาดสูง รวมถึงต่อยอดกรมธรรม์ประกันภั ยสินค้าเกษตรที่เอกชนเป็นผู้ ดำเนินการอยู่แล้ว ได้แก่ ทุเรียน ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ต้นไม้ โคเนื้อ และโคนม รวมไปถึงกัญชาในอนาคต โดย สศก. จะร่วมกับ คปภ. ดำเนินการภายใต้ “คณะกรรมการความร่วมมือพั ฒนาระบบประกันภัยการเกษตร” เพื่อกำหนดทิ ศทางและแนวทางในการดำเนินการ สร้างทีมงานร่วมมือทางด้านวิ ชาการ คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกั นภัยรูปแบบใหม่ ๆ โดยศึกษาข้อมูลอย่างครอบคลุม ครบทุกมิติความเสี่ยง ทั้งความผันผวนของปริมาณผลผลิต ราคา ตลาด และความต้องการของเกษตรกรในแต่ ละพื้นที่ รวมทั้งสร้างแรงจูงใจ สนับสนุนให้เกษตรกรเข้าสู่ ระบบการคุ้มครองความเสี่ยงอย่ างเป็นระบบ หันมาใช้การประกันภัยเป็นเครื่ องมือในการบริหารจั ดการทางการเงินของตนเอง