Update Newsสังคมสังคม/CSRสิ่งแวดล้อม

คณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หารือเร่งระบายมวลน้ำออกจากพื้นที่ประสบอุทกภัย

คณะอนุกรรมการหารือเร่งรัดการระบายน้ำออกจากพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะลุ่มน้ำยม – น่าน ตามข้อสั่งการ “รองนายกฯ ประเสริฐ” พร้อมเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์เป็น 40 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อท้ายน้ำ เพื่อเตรียมรับมือฝนในช่วงถัดไป

วันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 10/2568 โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
โดยเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า จากอิทธิพลจากพายุ “วิภา” ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้พื้นที่ในหลายลุ่มน้ำประสบปัญหาอุทกภัย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จึงได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการหารือเพื่อเร่งรัดการระบายน้ำออกจากพื้นที่ต่าง ๆ
โดยเฉพาะลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน เพื่อป้องกันความเสียหายต่อพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดสุโขทัย โดยขณะนี้สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำยมเริ่มคลี่คลายลงแล้ว แต่ยังคงมีระดับน้ำล้นตลิ่งบริเวณอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ทั้งนี้ มวลน้ำหลากจากจังหวัดน่านจะทยอยไหลเข้าสู่เขื่อนสิริกิติ์ และเก็บกักไว้ในเขื่อนทั้งหมด ทำให้พื้นที่ท้ายเขื่อนไม่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเขื่อนสิริกิติ์ได้ปรับลดการระบายน้ำลงเหลือเพียง 10 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เพื่อรักษาระดับน้ำในแม่น้ำน่านให้ต่ำกว่าระดับน้ำในแม่น้ำยม ซึ่งเป็นการช่วยเร่งระบายปริมาณน้ำจำนวนมากในลุ่มน้ำยม ส่งผลให้ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในเขื่อนมากถึง 70% ของความจุเก็บกัก โดยจะเหลือพื้นที่ว่างรองรับน้ำได้อีกเพียงประมาณ 2,000 ล้าน ลบ.ม. เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้มีความเสี่ยงน้ำล้นหากมีพายุจรพัดผ่านประเทศไทยในช่วงฤดูฝนที่เหลือ ในวันนี้จึงได้วางแผนร่วมกันเพื่อปรับเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ให้อยู่ในอัตรา 40 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ในช่วงวันที่ 1 – 15 สิงหาคม นี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีแนวโน้มฝนลดน้อยลง รวมถึงจะช่วยให้สามารถปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนลงได้ในช่วงต้นเดือนกันยายน ที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักในภาคกลาง ประกอบกับน้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่ท้ายเขื่อนมีระดับน้ำเพิ่มขึ้น
“การระบายน้ำเพิ่มขึ้นของเขื่อนสิริกิติ์ในช่วง 2 สัปดาห์นี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในลุ่มน้ำยม – น่าน และพื้นที่ท้ายเขื่อน อาทิ จังหวัดอุตรดิตถ์ พิจิตร และพิษณุโลก อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการระบายน้ำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณท้ายเขื่อนทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการตื่นตระหนก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามประเมินสถานการณ์ฝนเป็นรายวัน หากมีฝนตกในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ จะปรับลดอัตราการระบายน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมทั้งต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านสถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อควบคุมการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไม่ให้เกิน 1,500 ลบ.ม. ต่อวินาที ด้วย นอกจากนี้ จะมีการประเมินสถานการณ์ของเขื่อนต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพื้นที่ว่างรองรับฝนตกในช่วงหลังจากนี้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ” เลขาธิการ สทนช. กล่าว