“ข้อมูล” และ “AI” ยุทธศาสตร์ธุรกิจไทย ฝ่าเศรษฐกิจสู่การเติบโตระดับโลก
WISESIGHT ชี้ผู้ชนะคือตัวจริงที่ใช้ข้อมูลนำเกม
นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย)กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “The Data Game: Winning Global Markets with Smart Insights” ในงานสัมมนา Future Forum 2025: The Great Transformation ที่จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ว่า “ข้อมูล” กำลังกลายเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ชี้ขาดความสำเร็จของธุรกิจในการแข่งขันระดับโลก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวในอัตราต่ำ แต่ภาคธุรกิจต้องการการเติบโตในระดับสองหลัก การนำข้อมูลเชิงลึกและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง”
“ข้อมูลคืออาวุธใหม่ที่ชี้ขาดว่าใครจะเป็นผู้ชนะในตลาดโลก”
การใช้ข้อมูลไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเก็บสถิติ แต่คือการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่แม่นยำและการคาดการณ์อนาคตที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยไวซ์ไซท์ได้พัฒนากรอบการวิเคราะห์ผ่าน “โซเชียล ลิสเทนนิ่ง” (Social Listening) ครอบคลุมข้อมูล 4 มิติ ได้แก่ ข้อมูลผู้บริโภคที่สะท้อนพฤติกรรมและความคิดเห็น ข้อมูลองค์กรและแบรนด์ที่เผยให้เห็นเสียงสะท้อนและท่าทีของคู่แข่ง ข้อมูลจากอินฟลูเอนเซอร์ซึ่งปัจจุบันมีบทบาทสำคัญมากกว่าการสื่อสารของแบรนด์โดยตรง และข้อมูลด้านอีคอมเมิร์ซที่ช่วยให้เข้าใจกลไกราคา คู่แข่ง และพฤติกรรมการซื้อในเชิงลึก โดยได้ฉายภาพรวมการใช้ข้อมูลในปัจจุบัน (Current Data Usage Trends) แนวโน้มทั่วโลกและในเอเชียแปซิฟิกว่า การใช้ข้อมูลเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด (exponential) แต่สมองมนุษย์มีข้อจำกัดในการประมวลผล ทำให้ต้องการ AI มาช่วย โดยจะเห็นว่า ปัจจุบันทั้งที่จีนและเกาหลีใต้ ใช้ AI มากขึ้น โดยจีนให้ความสำคัญกับการประมวลผล (Data Processing) และความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) ขณะที่เกาหลีใต้ใช้ “ข้อมูลสาธารณะ” (Public Data) เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน ทั้งการศึกษา การเงิน ค้าปลีก ไปจนถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ ปรากฏการณ์เหล่านี้ตอกย้ำว่า AI กำลังเข้ามาเติมเต็มข้อจำกัดของมนุษย์ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ และเป็นเครื่องมือสำคัญของการแข่งขันยุคใหม่
มนุษย์มีข้อจำกัดในการประมวลผลข้อมูล แต่ AI จะทำให้เราเห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น
สำหรับประเทศไทย พบว่าปริมาณคอนเทนต์และการมีส่วนร่วม (Engagement) ของผู้บริโภคและแบรนด์ มาจาก TikTok มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันสูงถึง 88% แม้จะมาจากคอนเทนต์เพียง 11% เท่านั้น เทียบกับอดีตที่ Facebook ครองความเป็นผู้นำ โดยในแต่ละอุตสาหกรรมยังพบความแตกต่างของแพลตฟอร์มที่สร้างประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ธุรกิจการเงินที่ได้รับ Engagement มากจาก YouTube ในขณะที่ธุรกิจความงามเติบโตสูงบน TikTok การเข้าใจพลวัตเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์วางกลยุทธ์ การลงทุนด้านคอนเทนต์ และการสื่อสารได้ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น
อนาคตของ Data และ AI จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว
ปัจจุบัน AI มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างชัดเจนคือ ChatGPT ซึ่งเปิดตัวในปลายปี 2565 และเพียงสามปีต่อมามีผู้ใช้งานรายสัปดาห์กว่า 500 ล้านคน พร้อมกันนี้ยังมีการลงทุนมูลค่ากว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลกเพื่อพัฒนา Data Center รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจข้อมูล ขณะเดียวกัน AI ยังเริ่มเข้ามามีบทบาทในด้านการเขียนโปรแกรมหรือ “AI Coding” ที่สามารถลดเวลาและความผิดพลาดในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งคาดว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภายในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า
AI จะไม่เพียงช่วยวิเคราะห์ แต่จะลงมือสร้างสรรค์งานแทนมนุษย์ได้จริง
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “Data Game” ไม่ใช่เพียงแนวโน้ม แต่คือสนามแข่งขันใหม่ที่ทุกองค์กรต้องเข้ามาเป็นผู้เล่น การบริหารจัดการข้อมูลและการนำ AI มาใช้อย่างมีกลยุทธ์ จะเป็นตัวกำหนดว่าใครจะเป็นผู้ครองตลาดโลก และธุรกิจไทยเองก็สามารถใช้โอกาสนี้พลิกข้อจำกัดทางเศรษฐกิจให้กลายเป็นจุดแข็งได้ หากรู้จักใช้ “ข้อมูล” เป็นอาวุธหลักในเกมเศรษฐกิจยุคใหม่
เกษตรกรใช้เทคโนโลยีลดเหลื่อมล้ำ–ภัตตาคารมัดใจลูกค้าด้วยดาต้า
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่สองกระแสสำคัญพร้อมกัน หนึ่งคือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความเหลื่อมล้ำของเกษตรกร สองคือการขับเคลื่อนธุรกิจบริการโดยใช้ “ประสบการณ์” เป็นหัวใจดึงดูดลูกค้า สะท้อนให้เห็นว่าอนาคตการแข่งขันของไทยจะอยู่บนฐานข้อมูล ความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างคุณค่าเกินกว่าตัวสินค้า
AI เสริมศักยภาพภาคเกษตร รับมือมาตรฐานโลก
นายอุกฤษ อุณหเลขกะ ผู้ก่อตั้งกิจการเพื่อสังคม Startup ชื่อ Ricult (รีคัลท์) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในการนำเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิ่ง และภาพถ่ายดาวเทียมมาช่วยเพิ่มและพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้เกษตรกรไทย ชี้ว่า “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย และการใช้ AI เพื่อแก้ไขปัญหาและความท้าทายที่สําคัญในภาคเกษตรกรรม เพื่อยกระดับความยั่งยืน การบริหารจัดการที่ดิน และรายได้ของเกษตรกร โดยมุ่งประเด็นสําคัญ ที่ปัญหาด้านกฎระเบียบสากลและความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อกําหนดที่เพิ่มขึ้นจากต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรป ที่ต้องการพิสูจน์แหล่งที่มา (traceability) และความยั่งยืน (sustainability) ของสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก เช่น การไม่ทําลายป่า การไม่ใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย และการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (emission)
AI ถูกนำมาใช้ตรวจสอบพื้นที่เกษตรนับร้อยล้านไร่ได้แม่นยำกว่า 90% เร็วกว่าการใช้แรงงานมนุษย์อย่างมาก เกษตรกร 1 คนสามารถดูแลพื้นที่ได้มากถึง 1,000 ไร่ ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต พร้อมขยายการทำงานได้ถึงเกษตรกรกว่า 1 ล้านคน ด้วยทีมงานไม่ถึง 10 คน ดังนั้นการแก้ไขด้วย AI จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพการขยายขนาดของ AI ในการบริการภาคเกษตรกรรม ที่ช่วยลดต้นทุนการดําเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลที่ดินได้อย่างมหาศาล
กรณีศึกษาการปลูกทุเรียนสะท้อนศักยภาพของ Generative AI ที่ช่วยพยากรณ์อากาศเชิงพื้นที่ (hyper-local) รายวัน ลดอัตราการตายของต้นทุเรียน และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสวน ขณะที่ AI ยังช่วยเกษตรกรจัดการเอกสารและมาตรฐานส่งออกที่ซับซ้อน เช่น การค้ากับจีน”
นอกจากนี้ Ricult ยังได้พัฒนาแอป Digital MRV ช่วยวางแผนเพาะปลูก และจัดการห่วงโซ่อุปทานในสินค้าเกษตรสำคัญอย่างยางพารา พร้อมตอกย้ำว่า AI ไม่เพียงช่วยด้านการผลิต แต่ยังยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลกอีกด้วย
MK Group พลิกเกมด้วย Experience Economy
เมื่อธุรกิจบริการและร้านอาหารก็กำลังเปลี่ยนสมรภูมิจาก “การขายสินค้า” ไปสู่ “การขายประสบการณ์” นางสาวมยุรี จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปรัชญาธุรกิจยุค Experience Economy คือการสร้าง “ความทรงจำที่น่าจดจำ” (remarkable experiences) ให้กับลูกค้า ซึ่งเหนือกว่ารสชาติหรือบริการในร้านอาหาร MK Group ซึ่งมีแบรนด์ในเครือทั้ง MK, ยาโยอิ และร้านใหม่จากญี่ปุ่น
กลยุทธ์การตลาดร้านอาหาร MK Group จะมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของยอดขาย (ROI) กับการสร้างความผูกพันทางอารมณ์ (Emotional Connection) กับลูกค้า ผ่านความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า ข้อมูลเชิงลึก และความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ โดยอาศัย 4 แกนหลัก ได้แก่ ข้อมูล ความคิดสร้างสรรค์ ประสบการณ์ และการสื่อสาร หัวใจวัฒนธรรมองค์กรยังยึดแนวคิด “ครอบครัว” พนักงานนับหมื่นคนถูกปลูกฝังให้ดูแลลูกค้าเหมือนคนในบ้าน ภายใต้หลักการ “สิ่งที่เราทานที่บ้าน คือต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า” มยุรีทิ้งท้ายว่า “การทำแบรนด์ไม่ใช่กิจกรรมชั่วคราว แต่ต้องสร้าง “โมเมนตัมต่อเนื่อง” เพื่อสะสมความผูกพันระหว่างลูกค้าและแบรนด์ให้ยั่งยืน”
เทรนด์คู่ขนาน : เทคโนโลยี–ประสบการณ์
ทั้ง Ricult (รีคัลท์) และ MK Group สะท้อนภาพเดียวกันว่า การแข่งขันในเศรษฐกิจใหม่ ไม่ได้อยู่เพียงแค่ “สินค้า” หรือ “บริการ” แต่คือความสามารถในการใช้ข้อมูล เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการความลดเหลื่อมล้ำของเกษตรกรไทย หรือการสร้างความประทับใจให้ผู้บริโภคในเมืองใหญ่
Future Forum 2025: The Great Transformation จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และได้รับการสนับสนุนจาก เอไอเอส อะคาเดมี บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส โกลบอล เซอร์วิสเซส จำกัด เอสซีจี บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)