สทนช. ติดตามความก้าวหน้าแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำชี

สทนช. ลงพื้นที่เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น หารือหน่วยงานวางแผนบริหารจัดการน้ำฤดูฝน ปี 66 พร้อมเปิดแผนพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนกลาง ลดพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม-แล้งซ้ำซาก แก้ปัญหาน้ำทั้งระบบ

วันนี้ (10 มิ.ย. 66) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วย พร้อมด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เพื่อติดตามความก้าวหน้าผลการศึกษาแผนหลักแบบบูรณาการเพื่อบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าการบริหารจัดการน้ำและการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยฤดูฝน ปี 66 ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.ขอนแก่นและลุ่มน้ำชี

 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยถึงโครงการศึกษาแผนหลักแบบบูรณาการเพื่อบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่เฉพาะ (Area Based) ชีตอนกลาง ว่า สทนช. เล็งเห็นสภาพปัญหาในพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง ที่มีปัญหาอุทกภัย ภัยแล้ง ปัญหาน้ำอุปโภค-บริโภค ปัญหาด้านคุณภาพน้ำ ฯลฯ อยู่ในเกณฑ์สูง ประกอบกับเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องเร่งดำเนินการหามาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง 

ประกอบด้วย ลุ่มน้ำสาขา 9 ลุ่มน้ำสาขา ครอบคลุมพื้นที่ 459 ตำบล 67 อำเภอ 7 จังหวัด ได้แก่ จ.กาฬสินธุ์ จ.ขอนแก่น จ.มหาสารคาม จ.มุกดาหาร จ.ยโสธร จ.ร้อยเอ็ด และ จ.อุดรธานี รวมพื้นที่ประมาณ 12.85 ล้านไร่

จากผลการศึกษาพบว่า พื้นที่โครงการมีสภาพปัญหาทั้งด้านอุทกภัย ภัยแล้งซ้ำซาก และฝนทิ้งช่วงเป็นประจำทุกปี รวมถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งพบเกือบทุกพื้นที่ มีเสี่ยงภัยแล้งประมาณ 7.47 ล้านไร่ เนื่องจากมีปริมาณน้ำเก็บกักใช้การของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางรวม 2,478 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 43 ของปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยรายปี ขณะที่ความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค การเกษตร ปศุสัตว์ ภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวทุกกิจกรรมรวมกันไม่ต่ำกว่า 3,370 ล้าน ลบ.ม./ปี ส่งผลให้ขณะนี้มีปริมาณน้ำที่ขาดแคลน 504 ล้าน ลบ.ม/ปี 

ส่วนฤดูฝนจะประสบปัญหาน้ำท่วมเกิดจากน้ำท่วมล้นตลิ่งและน้ำท่วมขังอยู่บริเวณพื้นที่ลุ่มริมน้ำชีและลำน้ำสาขาเนื่องจากมีปริมาณน้ำมากกว่าความจุลำน้ำและมีสิ่งกีดขวางการระบายน้ำหรือได้รับผลกระทบจากท้ายน้ำที่มีระดับสูงจนไม่สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้ทัน พบว่ามีปริมาณน้ำส่วนเกินที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมประมาณ 440 ล้าน ลบ.ม./ปี มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมมากกว่า 1.31 ล้านไร่ มีครัวเรือนได้รับผลกระทบอย่างน้อย 85,700 ครัวเรือน นอกจากนี้ยังพบปัญหาปัญหาขาดแคลนน้ำดิบสำหรับผลิตประปา ปัญหาคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมเสื่อมโทรมจากระบบบำบัดน้ำเสียไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ น้ำเสียที่ปล่อยจากการทำการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งน้ำทิ้งจากมาจากด้านเหนือน้ำก่อนเข้าพื้นที่โครงการ ล้วนส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและระบบนิเวศ



  

ทั้งนี้ ผลการศึกษาสภาพปัญหาหลักของพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง พบว่า แผนงานโครงการที่ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ดังกล่าวได้ ทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำตามแผนงานปกติของหน่วยงานและโครงการเสนอเพิ่มเติมสอดคล้องตามแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี จำนวน 2,978 โครงการ  โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะกลาง (ปี 68-70) จำนวน 2,947 โครงการ และระยะยาว (ปี 71-80) จำนวน 31 โครงการ ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง มีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น 1,250 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น 998,000 ไร่ ลดปริมาณน้ำหลากที่จะไหลลงสู่แม่น้ำชีตอนกลางและตอนล่างได้ 207 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่น้ำท่วมลดลง 684,000 ไร่ สามารถช่วยเติมน้ำให้แหล่งน้ำขนาดเล็กตลอดสองฝั่งลำน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งได้ 1,348 แห่ง รวมทั้งมีระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชนเพิ่มขึ้นอีก 28 แห่ง

นอกจากนี้ ได้มีการศึกษาโครงการเบื้องต้น จำนวน 13 โครงการ ที่มีความสำคัญเร่งด่วนต้องไปดำเนินการแก้ไขปัญหาตามแผนการพัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทาน พัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ/ระบบส่งน้ำให้ครบทุกลุ่มน้ำสาขา จัดหาแหล่งน้ำแบบพึ่งพาตนเอง (โคก หนอง นา โมเดล) เนื่องด้วยพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลางส่วนใหญ่ประสบปัญหาภัยแล้งสูง ทำให้ผลผลิตการเกษตรตกต่ำ จึงจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้สมดุลมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นคงทางน้ำภาคการผลิต ควบคู่กับการพัฒนาด้านอื่นๆ ประกอบด้วย การปรับปรุงคุณภาพน้ำของที่มีการปนเปื้อนในแหล่งน้ำดิบ (ระบบประปาบาดาล) การตัดยอดน้ำหลากจากการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติริมแม่น้ำ การฟื้นฟูคุณภาพน้ำในลำน้ำชีพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง สนับสนุนแนวคิดการจัดทำโครงการไร่ นา ป่า ครอบครัว  ส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำในระดับแปลงนา ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการแก้ไขปัญหาตามแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี เพื่อการพัฒนาทรัพยากรน้ำที่ยั่งยืนในทุกมิติ อย่างไรก็ตาม จะมีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนอีก 2 ครั้ง โดยจะดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 66 นี้ เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะ นำไปประกอบการปรับปรุงรูปแบบการพัฒนาให้เกิดการขับเคลื่อนแผนงานแบบบูรณาการแก้ไขปัญหาด้านน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม รวมทั้งเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

 เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่ครั้งนี้ยังได้หารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อติดตามแผนการบริหารจัดการน้ำและความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 66 ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.ขอนแก่นและลุ่มน้ำชี พบว่า สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำชี ณ วันที่ 9 มิ.ย. 66 เขื่อนจุฬาภรณ์ มีปริมาณน้ำ 61.5 ล้าน ลบ.ม. หรือ 37.5% ของปริมาณความจุเก็บกัก ซึ่งเป็นปริมาณน้ำใช้การได้เพียง 24 ล้าน ลบ.ม. หรือ 18% ซึ่งน้อยกว่าปี 65 จำนวน 40  ล้าน ลบ.ม. เขื่อนลำปาว มีปริมาณน้ำ 768 ล้าน ลบ.ม. หรือ 39% ของปริมาณความจุเก็บกัก โดยเหลือปริมาณน้ำใช้การเพียง 670 ล้าน ลบ.ม. หรือ 34% ซึ่งน้อยกว่าปี 65 จำนวน 40 ล้าน ลบ.ม. สำหรับเขื่อนอุบลรัตน์มีปริมาณน้ำ 789 ล้าน ลบ.ม. หรือ 32% ของปริมาณความจุเก็บกัก ปริมาณน้ำใช้การได้เพียง 207 ล้าน ลบ.ม. หรือ 11% ซึ่งน้อยกว่าปี 65 จำนวน 220 ล้าน ลบ.ม. โดยแนวทางการบริหารจัดการน้ำในฤดูฝน ปี 66 (1 พ.ค-31 ต.ค.66) ของเขื่อนอุบลรัตน์มีแผนการระบายน้ำเพื่อสนับสนุนน้ำดิบในการผลิตประปาของการประปาส่วนภูมิภาค 5 แห่ง ประปาหมู่บ้าน 45 แห่ง สนับสนุนแหล่งอุตสาหกรรมตามลำน้ำพอง 10 แห่ง รวมทั้งรักษาระบบนิเวศ วันละประมาณ 1 ล้าน ลบ.ม.

สำหรับช่วงเวลาที่การเพาะปลูกเหมาะสมในปีนี้ คือช่วงหลังกลางเดือนกรกฎาคม 66 เป็นต้นไป มีปริมาณน้ำภาพรวมตามแผนจัดสรรน้ำ 1,430 ล้าน ลบ.ม. ในพื้นที่ 2.43 ล้านไร่ โดยพื้นที่การเกษตรของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหนองหวาย, โครงการส่งน้ำฯ พรมเชิญ สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าช่วงต้นลำน้ำชี จ.ชัยภูมิ - จ.ขอนแก่น, ลำน้ำพอง-ลำน้ำชี-ลำน้ำพรม-ลำน้ำเชิญใช้น้ำฝนเป็นหลักทั้งหมด ส่วนพื้นที่การเกษตรของโครงการส่งน้ำฯ ลำปาวและอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง จำนวน 96 แห่ง มีน้ำสำรองต้นฤดูฝนเพียงพอสำรับอุปโภค-บริโภคและเตรียมแปลงเท่านั้น ในฤดูฝนต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลักและน้ำชลประทานเสริมในช่วงต้นฤดูฝนหรือฤดูฝนทิ้งช่วง

ด้าน นายพิสิษฐ์ วงศ์เธียรธนา หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดขอนแก่น กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม 66 จ.ขอนแก่น ได้ดำเนินการตามมาตรการด้านน้ำต้นทุนเพื่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ด้วยการก่อสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ 26 อำเภอ 124 ตำบล จำนวน 332 ฝาย รวมปริมาณน้ำกักเก็บเพิ่มขึ้น 8 ล้าน ลบ.ม. และได้มีการเตรียมความพร้อมตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 66 ได้แก่ การกำหนดพื้นที่เสี่ยง การตรวจสอบความพร้อมของอาคารควบคุมบังคับน้ำ/ระบบระบายน้ำ การเตรียมความพร้อมแผนป้องกัน แผนเผชิญเหตุ ความพร้อมด้านบุคลากร เครื่องจักรพร้อมใช้งานและเครื่องจักรเครื่องมือที่จะขอรับการสนับสนุนด้วย เพื่อเตรียมการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที.