ShowTimeUpdate Newsท่องเที่ยว B Tripประชาสัมพันธ์สกู๊ปพิเศษสังคมสังคม/CSRแหล่งเที่ยวไลฟ์สไตล์

รวมพลังสื่อ ปู๊น ปู๊น Welcome to อิต – ตะ – ระ – ดุด … “อุตรดิตถ์”

มาแล้วตามสัญญาเจ้าคะ คราวนี้ กองบก. B TRIP News พานั่งรถไฟไปม่วนชื่นกันที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อร่วมกระตุ้นการท่องเที่ยวเส้นทาง Grand Moment เมืองลับแล กัน กับชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว นำโดยพี่แอ๊ว คุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมฯ ที่พาคณะนักท่องเที่ยววัยเก๋า บรรดาพ่อแม่รวมทั้งหมดก็นับร้อยชีวิต สิริอายุคราวนี้ก็หมื่นๆ ปี เหมือนเดิม ร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ  ระหว่างวันที่ 7 – 11 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา กับกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว สุขทันทีที่เที่ยวอุตรดิตถ์ ที่ ...ร่วมกับททท. ภูมิภาคภาคเหนือ 

การเดินทางเริ่มขึ้นในเช้าตรู่ด้วย รถด่วนขบวนพิเศษดีเซลราง ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สมาชิกพร้อม รถไฟพร้อม สองโบกี้ เกือบร้อยชีวิตก็ขึ้นรถไฟเรียบร้อย

DAY 1

พี่แอ๊ว –คุณ วรางคณา เล่าให้ฟังขณะรถเริ่มเคลื่อนขบวนว่า วันนี้ชมรมพาคณะไปอุตรดิตถ์กันคะ เดือนสิงหาคมคือเดือนสำคัญของเราคนไทย เราถือว่าเป็นเดือนของแม่ วันแม่ที่อยู่ในวันที่ 12 สิงหาคม เราได้จัดการท่องเที่ยวเฉลิมพระเกียรติ ฯ พระพันปีหลวง มาโดยตลอด สำหรับจังหวัดอุตรดิตถ์ จุดหมายปลายทางอยู่ที่เขื่อนสิริกิติ์ ถือว่าเรามีส่วนร่วมกันในการไปร่วมถวายพระพรท่าน ให้ทรงพระเกษมสำราญ

นอกจากนั้นกิจกรรมสำคัญอีกอย่างคือ เป็นวาระของผอ.ภูมิภาคภาคเหนือ คุณสมชาย ชมภูน้อยที่ท่านเกษียณอายุในสิ้นเดือนกันยายนนี้ ซึ่งท่านเป็นเจ้าหน้าที่ททท.ที่เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวที่ติดตามสนับสนุนกิจกรรมของชมรมฯ มาโดยตลอด

การเดินทางครั้งนี้และทุกๆครั้งและในอนาคต เราจะรวบรวมกิจกรรมนั้นไว้ใน Facebook ของชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวรวมทั้ง Facebook ของน้อง ๆ สื่อมวลชน สามารถติดตามได้ว่าเมืองไทยมีดีที่ไหน ติดตามได้ตลอดคะ

อ่ะแฮ่ม.. เอาเป็นว่า อุตรดิตถ์ จะ…  อิ๊ต ตะ ระ ดุ๊ด สะดุดหัวใจแค่ไหน ? ไปด้วยกันเลยคะ

พิพิธภัณฑ์ บ้านกนกมณี ขนมเทียนเสวย (ชิดดวง กนกมณี)

หลังจากนั่ง ๆ กิน ๆ ชมวิวกันเพลินตาตลอดทาง ราวบ่ายแก่ๆ เราก็ถึงสถานีรถไฟ ศิลาอาสน์ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จัดกระบวนแถวกันใหม่เป็นรถตู้ VIP ปรับอากาศ ทั้งหมด 11 คัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวและคณะจัดนำขบวนให้การดูแลตลอดเส้นทาง

ไม่นานนักเราก็มาถึงจุดแรกของเมือง  “พิพิธภัณฑ์ บ้านกนกมณี ขนมเทียนเสวย ( ชิดดวง กนกมณี)”

เฉลิมวงศ์ จันทรางศุ ทายาทตระกูลกนกมณี ให้การต้อนรับคณะอย่างอบอุ่น พร้อมกับพาเดินเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ด้วยตัวเอง หลังดื่มเวลคัมดริ๊งและชิมชนมเทียนเสวยกันคนละหมุบคนละหมับ

บ้านกนกมณี เป็นบ้านของพระยาอัธยาศัยวิสุทธิ์ (โชติ กนกมณี) อดีตผู้ว่าราชการอุตรดิตถ์ 2474- 2476 หลังจากเกษียณ คุณชิดดวง กนกมณี ก็คิดทำขนมเทียนเสวย ทำมาหกสิบปีแล้ว เริ่มต้นทำเพื่อรับแขก ต่อมาพระยาฯ ท่านถึงแก่กรรม ทางคุณชิดดวงก็ทำขนมเทียนเสวยขึ้นมาเพื่อเลี้ยงดูน้อง ๆ เป็นการค้า แต่ความตั้งใจเลยคือทำเพื่อให้คนรุ่นต่อ ๆ มาได้ชม อยากเชิญให้มาชมพิพิธภัณฑ์และมาชิมขนมเทียนเสวย ซึ่งมีเจ้าเดียวที่อุตรดิตถ์

จากประวัติความเป็นมาของ พิพิธภัณฑ์ บ้านกนกมณี ขนมเทียนเสวย บอกไว้ว่า บ้านหลังนี้สร้างด้วยความรักและความผูกพันธ์กับจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยพระยาอัธยาศัยวิสุทธิ์ เพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายหลังเกษียณอายุราชการ  โดยซื้อที่ดิน จำนวน 5 ไร่ ปลูกเรือน 3 หลัง เป็นเรือนไทยประยุกต์  มีชานเชื่อมต่อกันทุกหลัง

เรือนหลังใหญ่ ( เรือนในปัจจุบัน ) มีหลังคาทรงสูง มีพื้นที่โล่งใต้เรือน ซึ่งปัจจุบันทำเป็นที่วางจำหน่ายขนมและของที่ระลึก

สนามหน้าบ้านทำเป็นสนามแบดมินตัน ขุดสระน้ำไว้สำหรับเอาไว้ใช้รดน้ำต้นไม้ ต้นไม้พรรณไม้ต่างๆ ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เรือนหลังใหญ่(เรือนในปัจจุบัน) แบ่งออกเป็น ห้องพระ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของอาคารนับเป็นห้องที่งดงามที่สุด สร้างโดยช่างชาวจีนไหหลำ  ห้องนอนจัดแสดงเครื่องใช้ส่วนตัวห้องนอนคุณหญิงแข อัธยาศัยวิสุทธิ์ จัดแสดงชุดล้างหน้า  ห้องทำงานและของสะสม

ที่นี่เปิดให้เยี่ยมชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมและอุดหนุน ขนมและสินค้าที่ระลึก ซึ่งอยู่ใต้ถุนพิพิธภัณฑ์ได้ตามสบาย

วัดกลางธรรมสาคร 

ปักหมุดเดินทางกันต่อ วัดกลางสาคร หรือ วัดกลาง ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเกาะ  อำเภอเมืองอุตรดิตถ์  เพื่อสักการะพระพุทธพิชัยไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) องค์ใหญ่ที่สุดของจังหวัด ขนาดหน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 25 เมตร เฉพาะพระเกศเปลวเพลิงหนัก 1 ตัน  สูง 19 เมตร ไม่รวมฐาน  ซึ่งคณะผู้มีจิตศรัทธาสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระมิ่งมงคลพระคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาแห่งใหม่ของจังหวัด

เดิมชื่อวัดโพธาราม สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ประมาณ พ.ศ.2285   ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาประมาณ พ.ศ.2300   ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้าง มีพระอุโบสถที่มีลวดลายรูปปั้นสวยงาม ภายในอุโบสถมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองมีพุทธลักษณะงดงามเป็นศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ตอนต้นผสมศิลปะแบบลาวหลวงพระบาง

และมีจิตรกรรมฝาผนังที่เก่าแก่หายากสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นภาพพระเวสสันดรชาดกและเทพชุมนุม มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่สามด้าน ลายปูนปั้นที่ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์และตัวเหรา รวมทั้งที่ซุ้มหน้าต่างประตูมีความวิจิตรงดงามอย่างยิ่ง  หน้าบันเป็นไม้จำหลักรูปครุฑจับนาค มีตราพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประดิษฐานอยู่ท่ามกลางลายเครือเถาก้านขด มีเทพนมอยู่เป็นระยะ มีรูปสัตว์สอดแทรกอยู่ตามลายเครือเถาที่เกี่ยวพันกันไปอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งมีพระพุทธรูปล้ำค่าและวัตถุโบราณที่น่าสนใจจำนวนมากจัดวางอย่างเป็นระเบียบ งดงามน่าเข้าเยี่ยมชม ‎

วันแรกของทริปหมดลงในช่วงเย็นย่ำด้วย มื้อแสนอร่อย ที่ร้านลานโพธิ์ ก่อนจะส่งคณะเข้าพักผ่อนกันที่ โรงแรมสีหราช

Day 2 

ล่องเรือชมสวนฝรั่งกิมจู สวนดีพิชัย

Morning กันแบบสดชื่นสุด ๆ ได้พักผ่อนกันอย่างเต็มอิ่ม หลังรับประทานอาหารเช้า ล้อก็เริ่มหมุนเดินทางลุยกันต่อ สถานที่แรกคือ สวนฝรั่งกิมจู ของลุงสายฝน เกิดแก้ว ซึ่งอยู่ที่อำเภอพิชัย สวนแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 10 ไร่ มีการบริหารจัดการสำหรับการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาเยี่ยมชมวิถีชาวสวนกันแบบใกล้ชิดเป็นกันเอง

หากมาเป็นหมู่คณะ ทางลุงสายฝนจะจัดพื้นที่นั่งเพื่อบอกเล่าที่มาของสวนแห่งนี้ โดยมีน้ำฝรั่งให้ชิมกัน ก่อนจะทยอยกันลงเรือลัดเลาะตามท้องร่องเยี่ยมชมสวน

ที่นี่มีการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยเน้นกันที่การจัดการที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ลุงสายฝนเล่าว่า “ที่นี่ปลูกพืชแบบผสมผสาน มีการปลูกกล้วยไขแซมฝรั่งกิมจู และมะนาว ภายในร่องสวนก็เลี้ยงปลา โดยให้ระบบนิเวศน์จัดการกันเอง ส่วนการล่องเรือชมสวนฝรั่งกิมจู ขอแค่บอกล่วงหน้าสักสามวัน เพราะผมและครอบครัวดูแลและพาเยี่ยมชมเองครับ ผมมีกิจกรรมตัดกล้วยและตัดฝรั่งและไปขายของด้วย หากสนใจเข้ามาดูยินดีต้อนรับครับ หรือเข้าไปศึกษาหาความรู้ได้ที่เพจ สวนดีพิชัยฝรั่งกิมจูครับ

 

หลังจากอุดหนุนฝรั่ง มะนาว และชาสมุนไพรผลิตภัณฑ์ชุมชน จากสวนดีพิชัยฝรั่งกิมจูจนแทบจะหมดสวน ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ

สถานีรถไฟชุมทางบ้านดารา 

คราวนี้ไปถ่ายรูปเล่นกันที่ สถานีรถไฟชุมทางบ้านดารา ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านดารา อำเภอพิชัย เป็นสถานีรถไฟระดับ 3 ทำหน้าที่เป็นทางแยกสาขาสวรรคโลก

สถานีรถไฟชุมทางบ้านดารา สถานีรถไฟชุมทางแห่งแรกในภาคเหนือ มีทางรถไฟเชื่อมไปยังอำเภอสวรรคโลกผ่านสถานีรถไฟคลองมะพลับและสิ้นสุดปลายทางที่สถานีรถไฟสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย

ชื่อของสถานีรถไฟมีมาพร้อม ๆ กับการตั้งชื่อตำบล เนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯประพาสทางรถไฟมาถึงสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นจุดพักรถเพื่อเติมน้ำรถจักรไอน้ำ เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าสถานีรถไฟนี้ยังไม่มีชื่อ จึงพระราชทานชื่อ “บ้านดารา” เป็นชื่อของสถานีรถไฟแห่งนี้ มาจากพระนามของ“พระราชชายาเจ้าดารารัศมี”( เจ้าดารารัศมี แห่งราชวงศ์ทิพย์จักรพระธิดาในพระเจ้าอินทวิชยานนท์เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ )

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกพระนางว่า “นางดารา” และเพื่อเป็นหมุดหมายว่ากำลังจะเข้าเขตแดนล้านนา คือ เขตแดนบ้านของนางดารา

สะพานปรมินทร์ 

ร่องรอยความทรงจำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

สะพานปรมินทร์ เป็นสะพานรถไฟสายเหนือ สะพานปรมินทร์ (เดิม) สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อข้ามแม่น้ำน่านและเชื่อมอาณาจักรสยามกับอาณาจักรล้านนาให้เป็นปึกแผ่น

ลักษณะสะพานเป็นแบบคานยื่นผสมกับสะพานธรรมดา สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2449  แล้วเสร็จและประกอบพระราชพิธีเปิดสะพานเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2452 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า สะพานปรมินทร์

ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง พ.ศ.2485 – 2488  สะพานปรมินทร์ได้รับความเสียหายจากการทิ้งระเบิด จนไม่สามารถซ่อมให้ใช้การได้  ภายหลังสงครามสิ้นสุดจึงได้บูรณะสร้างให้เป็นสะพานเหล็กแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2496ใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้

สถานีรถไฟชุมทางบ้านดาราได้นำป้ายชื่อสะพานเดิมมาตั้งไว้เป็นอนุสรณ์พร้อมลูกระเบิดลูกหนึ่ง ซึ่งคาดว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มระเบิดที่ทำลายสะพานปรมินทร์ (เดิม)

และเพื่อเป็นการย้อนรําลึก 100 ปี สะพานปรมินทร์ ทางองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านดารา จึงส่งเสริมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว  เชิงประวัติศาสตร์ โดยเมื่อ พ.ศ.2549 ได้ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณใต้สะพานให้เป็นสวนสาธารณะริมน้ำน่าน เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อนหย่อนใจ

และเป็นนโยบายของ พี่แอ๊ว คุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมฯ ที่ต้องการจะสนับสนุนกิจการของชุมชนในแต่ละทริปที่เดินทาง ครั้งนี้ทาง ช.ส.ท. จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ปรับพื้นที่ศาลาข้างสวนสาธารณะให้เป็นสถานที่ทานอาหารเที่ยง โดยให้ชาวชุมชนทำอาหารเพื่อรองรับคณะกว่าร้อยคนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง พร้อมกับนำสินค้าชุมชนมาจำหน่าย ทั้งผลไม้ อาหารแห้ง ขนมพื้นถิ่นและที่สำคัญเตรียมนางรำกิติมศักดิ์ชาวชุมชนที่พากันแต่งชุดสวยงามรอต้อนรับกันแบบเต็มกำลัง

งานนี้หลังทานอาหารกลางวันกันเสร็จ ถูกอกถูกใจคณะนักท่องเที่ยววัยเก๋าไม่เบาทีเดียว เพราะเห็นหลายคนต่างสาละวนขอบันทึกภาพคู่กับคุณลุงคุณป้าคุณพี่นางรำที่ฟ้อนโชว์ให้ชมเป็นขวัญตา แม้จะขลุกขลักเรื่องอุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ใจเกินร้อย ฟ้อนกันแบบใช้ลำโพงขนาดเล็กก็ตาม เรียกว่า ถือเป็นหนึ่งไฮไลท์สำหรับมื้อกลางวันแสนอร่อยวันนี้จริงๆ

วัดเอกา

เดินทางกันต่อ… คราวนี้ไปกันที่ วัดเอกา เพื่อไปชมตำนานพื้นที่สมรภูมิรบประวัติศาสตร์ของชาติไทยสมัยพระยาพิชัยดาบหัก ที่นี่ ช.ส.ท. จัดกิจกรรมทาสีไก่เขียวพาลีให้คณะนักท่องเที่ยวได้ทาสีไก่ด้วยตัวเอง เพื่อนำขึ้นสักการะพระยาพิชัยดาบหัก ซึ่งตามประวัติศาสตร์เป็นสถานที่ที่พระยาพิชัยดาบหักได้ทำดาบหักระหว่างการสู้รบกับพม่าที่เมื่อปี 2313-2316  ทุกปีจะมีการจัดงานเพื่อเชิดชูวีรกรรมของพระยาพิชัยดาบหัก ทหารเอกคู่พระทัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ต่อสู้กับข้าศึกผู้รุกรานแผ่นดินไทยอย่างกล้ากาญ จนได้รับการยกย่องเชิดชูสืบต่อกันมา

ก่อนเข้าสู่ที่พัก ปิดท้ายกันด้วยการถ่ายภาพที่ ซุ้มประตูกาลเวลาเมืองลับแล จุดเช็กอินยอดฮิตของนักท่องเที่ยว

เลี้ยงรับรองคณะช...

และค่ำคืนนี้ ถือเป็นค่ำคืนพิเศษสำหรับชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวและคณะ ที่ได้รับเกียรติจากผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดงานเลี้ยงสรรค์ต้อนรับคณะ ช.ส.ท.‎พร้อมกล่าวต้อนรับและเผยทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัด

คุณศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่า ฯ อุตรดิตถ์ เล่าถึงแนวนโยบายการเปิดเมืองอุตรดิตถ์ว่า “เราวางนโยบายตามแนวทางของรัฐที่ว่าเราจะเป็นเมืองการพักค้าง ไม่ใช่เมืองผ่าน ในการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวของปีนี้จะเป็นลักษณะนำกีฬามานำการท่องเที่ยว เรามีการแข่งรถความเร็วในเมือง จัดสี่วันสามคืน ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีเพราะแห่งแรกของภาคเหนือ นอกจากนี้ก็มีการแข่งขันกีฬาว่ายน้ำ และมีการถวายพระเพลิงของพระพุทธเจ้า จัดมาแล้ว 70 ครั้ง

สถิติจำนวนนักท่องเที่ยวอุตรดิตถ์เพิ่มขึ้น 10 % ถึงจะยังไม่พอใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้พี่น้องประชาชนรู้จักอุตรดิตถ์มากขึ้น

ช่วงนี้ ไฮไลท์ของอุตรดิตถ์ คือ เราเป็นเมืองธรรมชาติ เที่ยวได้ทุกฤดูกาล ที่ภูสอยดาว สูงอันดับ 3 ของประเทศ ทุเรียนสินค้าจีไอ ปลูกที่ไหนก็รสชาติไม่เหมือนอุตรดิตถ์

ส่วนกันยายน มีงานลางสาดลองกอง เป็นงานที่ขึ้นหน้าชูตาของจังหวัด ใกล้สิ้นปีจะมีงาน ไฟล้านดวง ประกวดนางสาวไทย คอนเสิร์ต ก็สามารถมาท่องเที่ยวได้

อุตรดิตถ์เป็นเมืองน่าท่องเที่ยว สามารถเที่ยวชมธรรมชาติก็ได้ อาหารการกินหลากหลาย ไม่มีที่ไม่มีที่ใดเหมือน เป็นอาหารกรีนฟู้ด อาหารไทย อาหารเหนือ เรียกว่า เที่ยวครบจบที่อุตรดิตถ์ ขอเชิญชวนมาเที่ยวอุตรดิตถ์

สามารถเที่ยวชมเมืองสามวัฒนธรรม คือ ล้านนา ล้านช้าง และไทยกลาง ช่วงฤดูฝนก็ชมป่าเขาลำเนาไพร เรามีป่าผาแดง มีต้นจามจุรี เพราะฉะนั้นเที่ยวอุตรดิตถ์ ติดใจแน่นอนครับ”

‎ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก คุณกรรชกร ประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดอุตรดิตถ์ , คุณวชิรพันธ์ เตชะเอราวัณ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ คุณภัททิรา คำอภิวงศ์ รองผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานแพร่ ศูนย์ประสานงานจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้เล่าถึงแนวทางกระตุ้นท่องเที่ยวเส้นทาง Grand Moment เมืองลับแล – สุขทันที ที่เที่ยวอุตรดิตถ์อีกด้วย

Day 3

สะพานรวงผึ้ง

เช้าวันใหม่ เข้าสู่วันที่ 3 ของการเยือนเมืองอุตรดิตถ์

วันนี้เราจะต้องเดินทางออกนอกเมืองไปนิดหนึ่งเพื่อเข้าสู่บ้านปางต้นผึ้ง ตำบลบ้านด่านนาขาม อำเภอเมือง จุดชมสะพานรวงผึ้ง ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนใจและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งทีเดียว ได้เห็นถึงกุสโลบายที่แยบยลในช่วงสงครามที่สุดล้ำจริง ๆ

สะพานรวงผึ้ง เป็นสะพานโค้งกลับหัวแห่งเดียวในไทย  ได้รับการซ่อมแซมเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  หลังฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทิ้งระเบิดเส้นทางรถไฟสายเหนือที่ญี่ปุ่นใช้ลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์จากภาคกลางขึ้นภาคเหนือ และเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตโครงสร้างที่อยู่ด้านบน

ถ้าอยู่บนเครื่องบินหรือที่สูงจะเห็นได้ชัดเจน จึงได้ปรับโครงสร้างไว้ด้านล่างและเป็นไปตามหลักวิศวกรรม  เมื่อมองจากทางอากาศก็จะเห็นเหมือนกับทางรถไฟทั่วไปไม่เป็นสะพาน ปัจจุบันสะพานรวงผึ้งแห่งนี้ ยังใช้งานอยู่ และสถานีรถไฟปางต้นผึ้งมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5  ซึ่งปัจจุบันยังใช้อยู่

บริเวณนี้ ถูกปรับพื้นที่ให้มีมุมถ่ายรูป สำหรับนักท่องเที่ยวได้เก็บภาพเป็นที่ระลึกกันด้วย เรียกว่า ใครมาแล้วต้องไม่พลาดมาแวะที่นี่กัน

วิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์

ย้อนกลับเข้าสู่ภายในเมือง เพื่อชื่นชมสถาปัตยกรรมโบราณ วัดพระแท่นศิลาอาสน์ เดิมชื่อวัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ที่ บนเนินเขาเต่า บ้านพระแท่น ตำบลทุ่งยั้ง ติดกับวัดพระยืนพุทธบาทยุคล ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก  บนเนินเขาลูกเดียวกันแต่คนละยอด   เป็นวัดโบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดสร้างและสร้างแต่เมื่อใด

ปัจจุบันวัดพระแท่นศิลาอาสน์   ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี สังกัดธรรมยุตินิกาย เมื่อ พ.ศ.2549  ภายในพระวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์โดยมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า นายช่างที่สร้างวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์ วัดพระฝาง และวัดสุทัศน์ เป็นนายช่างคนเดียวกัน บานประตูเก่าของพระวิหาร  เป็นไม้แกะสลักฝีมือดี แกะไม้ออกมาเด่นเป็นลายซ้อนกันหลายชั้น

ต่อมาพระเจ้าบรมโกศ มีพระราชศรัทธาให้ทำ ประตูมุขตามลายเดิมถวายแทน แล้วโปรดฯ ให้นำบานเดิมนั้นไปใช้เป็นบานวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์

ประตูวิหารเก่าบานดังกล่าวได้ถูกไฟไหม้ไป  เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2451 เป็นไฟป่าลุกลามไหม้ เข้ามาถึงวัด ไฟไหม้ครั้งนั้นเหลือกุฏิซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อธรรมจักร  อยู่เพียงหลังเดียว ต่อมาพระยาวโรดมภักดีศรีอุตรดิตถ์นคร  (อั้น หงษนันท์) เจ้าเมืองอุตรดิตถ์ได้เรี่ยไรเงินสร้างและซ่อมแซมวิหาร  ภายในวิหารมีซุ้มมณฑปครอบพระแท่นศิลาอาสน์ไว้

วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง 

ชื่นชมศาสนสถานกันต่อ คราวนี้เราไปที่ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง  ห่างจากตัวจังหวัด 5 กิโลเมตร เป็นวัดสำคัญประจำเมืองทุ่งยั้ง

การสร้างพระบรมธาตุ  สมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท ผู้ครองเมืองสุโขทัย ได้เชิญพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาบรรจุไว้ในถ้ำใต้ดิน โดยขุดลงไปเป็นถ้ำแล้วก่อพระธาตุไว้ ลักษณะเดิมของพระบรมธาตุเมืองทุ่งยั้งคงเป็นรูปเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์  แต่ต่อมามีการบูรณะเพิ่มเติม  โดย พญาตะก่า พ่อค้าไม้ชาวพม่าในสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงก่อน พ.ศ.2444 เป็นลักษณะเจดีย์อย่างพม่า จนใน พ.ศ.2451 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำให้ยอดพระบรมธาตุเจดีย์หักพังลงมา  หลวงพ่อแก้ว สมภารวัดพระบรมธาตุในขณะนั้น ได้เป็นหัวหน้าปฏิสังขรณ์ซ่อมเพิ่มเติมดังรูปแบบที่ปรากฏ  ในปัจจุบัน  เป็นรูปแบบการบูรณะของหลวงพ่อแก้ว (เจ้าอธิการแก้ว) เจ้าอาวาส พร้อมกับหลวงคลัง (อิน) ภายหลังจากพระบรมธาตุพังลงมา

ภายในวัดมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญ คือ  เจดีย์พระบรมธาตุ  เป็นเจดีย์เก่าแก่แบบลังกาทรงกลมฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม 3 ชั้น  เชื่อกันว่าบรรจุพระพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เรียกว่า อุรังคธาตุ   คือ อัฐิส่วนหน้าอก

วิหารหลวง มีอายุเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อด้วยศิลาแลงและอิฐ   หลังคาลดหลั่น 3 ชั้น  หน้าบันแกะสลักลงรักปิดทองสวยงามมาก ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อหลักเมืองหรือหลวงพ่อโต

องค์พระประธานประดิษฐาน  ในพระวิหารหลวง ชาวบ้านนิยมเรียกชื่อ  หลวงพ่อหลักเมืองว่า หลวงพ่อประธานเฒ่า เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะของประชาชน เพราะได้รับสิ่งพึงปรารถนาตามอธิษฐาน

เจดีย์ประธาน เป็นเจดีย์ทรงระฆัง ลักษณะฐานแบบเขียงซ้อนกัน 3 ชั้นลดหลั่นกันไป ชั้นล่างก่อด้วยศิลาแลง ทั้ง 4 มุมมีเจดีย์ขนาดเล็กทรงระฆังอยู่ตรงกลาง เรือนธาตุของเจดีย์ทั้ง 4 ด้านประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนอยู่ภายในซุ้มจรนำ

ช่วงที่เราไปกราบสักการะภายในวิหาร เป็นช่วงที่พระสงฆ์กำลังทำพิธีปิดทองพระแผ่นแรกด้านบนเศียรพระประธานองค์ใหญ่ เลยมีโอกาสบันทึกภาพประวัติศาสตร์แห่งนี้ สาธุสาธุ…

วัดพระฝาง

ถัดมาเป็น วัดพระฝาง หรือ วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ ซึ่งทาง ผอ.สมชาย ชมภูน้อย และเจ้าหน้าที่ททท. ต้องการประชาสัมพันธ์เผยแพร่วัดเก่าแก่แห่งนี้ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จัก โดยนำน้องๆ มัคคุเทศน์น้อยที่มีคุณครูมาช่วยกำกับดูแลพาชื่นชม

วัดพระฝาง เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่สมัยสุโขทัยตามทะเบียนวัดระบุว่า ประมาณปีพ.ศ. 1700 ก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช วัดพระฝางนับว่าเป็นกลุ่มโบราณสถาณของเมืองฝางสวางคบุรี (สว่างคบุรี เพี้ยนมาจาก สวรรคบุรี) เพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่

วัดนี้ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในสมัยสุโขทัยและเป็นวัดพระมหาธาตุประจำเมืองสว่างคบุรี เมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยและเคยเป็นวัดที่จำพรรษาของพระเจ้าฝาง เมืองสวางคบุรี ผู้นำชุมนุมเจ้าพระฝางในคราวสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2

จุดท่องเที่ยวไฮไลท์ภายในบริเวณวัด- บานประตู วิหารวัดพระฝาง- หลวงพ่อใหญ่ – วิหารหลวง – โบสถ์หลวงพ่อพระสังกัจจายน์ – โบสถ์มหาอุตม์ – วิหารหลวงพ่อเชียงแสน – พระมหาธาตุเจดีย์วัดพระฝาง

ด้วยเวลาที่มีน้อยนิดเพราะวันนี้เรามีโอกาสไปพักกันที่บ้านพักบนเขื่อนสิริกิติ์ ทำให้คณะของเราได้เยี่ยมชมไม่ครบถ้วน แต่หากใครได้มีโอกาสมาอุตรดิตถ์ อยากให้ปักหมุดสถานที่แห่งนี้ คุ้มค่าและคู่ควรที่จะเข้ามาชื่นชมอีกแห่งหนึ่งทีเดียว

 เขื่อนสิริกิติ์  

สะพานแขวนเฉลิมพระเกียรติ สร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ ในปี พ.ศ.2547 โดยทรงพระราชทานนามว่า “สะพานเฉลิมพระเกียรติบรมราชินีนาถ” และโปรดฯ ให้อัญเชิญ ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547 มาประดิษฐานบนแผ่นป้ายพระราชดำรัสแทนอักษรพระนามภิไธย ส.ก.

เชิญด้านนี้เลยครับ ถ่ายภาพกันได้เต็มที่เลย พระอาทิตย์กำลังจะตก เสียงจากลำโพงขนาดเล็กยังคงปฏิบัติหน้าที่อยากขะมักเขม้นเพื่อเรียกคณะลูกทัวร์ให้ได้ชื่นชมวิว ทิวทัศน์เหนือเขื่อนสิริกิติ์

 เขื่อนสิริกิติ์  มีบริการร้านอาหารชื่อ ระเบียงน่าน อาหารอร่อย พร้อมชื่นชมบรรยากาศริมแม่น้ำน่านและสะพานแขวนเฉลิมพระเกียรติฯที่สวยงาม

ที่นี่มีบริการ ห้องประชุมสัมมนาและห้องจัดเลี้ยงรองรับได้ 20-180 คน มีบริการนวดแผนไทย ซึ่งได้รับใบรับรองจากสาธารณสุขจังหวัดมีบริการห้องฟิตเนส ซึ่งอยู่ติดกับบ้านพักรังนกกระจอก มีสนามกอล์ฟ เป็นสนามมาตรฐาน 18 หลุม มีการจัดวางสนามให้เป็นไปตามธรรมชาติดั้งเดิมมากที่สุด ซึ่งอยู่ติดภูเขาและลำน้ำน่าน

มีบ้านพักเขื่อนสิริกิติ์ มีบ้านพักรับรองทั้งในรูปแบบบ้านเดี่ยวบ้านเรือนแถวและบ้านทาวน์เฮาส์ สามารถรองรับผู้มาเยือน

ได้ถึง 280 คน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้และธรรมชาติ

โดยเฉพาะไฮไลท์ค่ำคืนนี้ นอกจากคณะจะร่วมรับประทานอาหารค่ำกันแล้ว ทาง ผอ.ททท. จัดงานต้อนรับคณะสื่อมวลชนและลูกทัวร์วัยเก๋าอย่างเป็นกันเอง พร้อมกับเปิดใจก่อนที่จะเกษียณในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

คุณสมชาย ชมภูน้อย  ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า สุขทันทีที่เที่ยวเหนือ ช่วงนี้เป็นช่วงท่องเที่ยวของหน้าฝน ปลายฝนต้นหนาวที่กำลังจะตามมา เป็นฤดูที่เหมาะที่สุดในการเที่ยวภาคเหนือ ผมอยู่มาครบในทุกภูมิภาค ต้องยอมรับเลยว่า ภาคเหนือหน้าฝนน่าเที่ยวที่สุด ทั้งเรื่องอากาศ ความเขียวขจี มีครบครัน เที่ยวบนภูบนดอยยังถือว่าเป็นจุดขายที่ดี เรื่องอาหารการกิน เรื่องของโปรโมชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวไทยคนละครึ่งหรือโปรโมชั่นอื่นๆ ทำให้เป็นการเที่ยวแบบประหยัด ถือว่าได้คุณค่ามาก โดยเฉพาะ 17 จังหวัดภาคเหนือ เริ่มจากอุทัยธานี นครสวรรค์ ประตูสู่ภาคเหนือไปจนถึงเชียงใหม่จุดสูงสุดของประเทศไทย อยู่ที่ดอยอินทนนท์ เหนือสุดของสยาม สามเหลี่ยมที่เป็นจุดขายมรกต

จุดขายที่สามารถนำไปสู่การท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าพม่า ลาว จีน  ทำให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวครบ จบสมบูรณ์ที่ภาคเหนือ ช่วงนี้เป็นบรรยากาศของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดคนไทยที่เข้ามาทดแทนที่มีโปรโมชั่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ถือว่าคุ้มค่ามาก

อยากเชิญชวนทุกท่านหาโอกาสมาสัมผัสกับความเป็นเมืองเหนือของเรา โดยเฉพาะวิถีแบบบ้านและอัธยาศัยไมตรีของคนเหนือ เที่ยวเหนือช่วงนึ้คึกคัก โดยเฉพาะช่วงนี้หน้าฝน ถือว่าเป็นไฮซีซัน

เราพยายามกระตุ้นการท่องเที่ยวของหน้าฝน ให้ทุกคนมายลโฉมภาคเหนือของเรา The Must  คือ ถ้าเราไปภาคใต้ถ่ายกับทะเลอันดามัน อ่าวไทย แต่ถ้ามาภาคเหนือ ให้ทุกท่านมาถ่ายรูปกับทะเลของเรา คือ นาขั้นบันได

เสื้อผ้า หน้าผม เตรียมพล็อพให้พร้อม อยากเชิญชวนทุกท่านมาแอ่วเหนือกับเรา สุขทันทีที่เที่ยวเมืองเหนือ  เราจะเป็นเจ้าบ้านที่ดีรอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน ทุกจังหวัดในภาคเหนือ”

สำหรับใครที่สนใจ บ้านพักบนเขื่อนสิริกิติ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขื่อนสิริกิติ์  http://www.sirikitdam.egat.com/   โทร : 055-461-136 ( ตรง)   โทร : 055-461-136 (ตรง), 055-461-150   ต่อ 3030 ,3031

DAY 4 วันสุดท้ายของทริป

อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่

เช้านี้คณะลงกันมาจากเขื่อนสิริกิติ์หลังทานอาหารเช้าเสร็จสรรพพร้อมสัมภาระ ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ยัง.. ยังไม่จบทริปคะ ยังมีที่เที่ยวอีกสองถึงสามแห่ง

จุดแรกของวันคือ ชมต้น มเหสักข์  ต้นสักใหญ่ที่สุดในโลก พบเมื่อประมาณ พ.ศ.2470   โดยได้รับการจัดตั้งเป็นวนอุทยานต้นสักใหญ่ เมื่อ พ.ศ.2511 มีอายุประมาณ 1,500 ปี มีความสูง 47.8 เมตร ความยาวรอบต้น  1,007 เซนติเมตร วัดเมื่อ 18 มิถุนายน 2543  แม้ส่วนยอดถูกพายุ  พัดหัก แต่ลำต้นส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม โดยได้รับการดูแลรักษาให้มีความแข็งแรงสมบูรณ์ เมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จทอดพระเนตร ต้นสักใหญ่ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2541  มีพระราชเสาวนีย์ว่า “ให้บำรุงดูแลรักษาต้นสักใหญ่ ให้มีอายุยืนนานที่สุดเท่าที่จะทำได้”

…ต่อมาวันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2552 สมเด็จพระกนิษฐา ธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “มเหสักข์” หมายความว่า “เทวดาผู้ใหญ่” เพื่อความเป็นสิริมงคลของชาวไทย

ทางอุทยานฯ จัดสร้างทางเดินเป็นแบบสะพานไม้ยกพื้นสูงรอบโคนต้นสักใหญ่ เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินบนผิวดินบริเวณโคนต้นสัก

วัดพลอยสังวรนิรันดร์

และแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมะที่มีศิลปะสวยงามแห่งหนึ่งของจังหวัด ที่นี่คือ วัดพลอยสังวรนิรันดร์  แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ  ตั้งอยู่บ้านนาลับแลง

ภายในวัดประดิษฐาน องค์พระสาระสุทธีมุนีนาถ พระพุทธรูปปางนาคปรกองค์ใหญ่  ขนาดหน้าตักกว้าง 10 เมตร สูง 19 เมตร ล้อมรอบด้วยพญานาคราช ได้แก่ ปู่ทะนะมูลนาคราช  และแม่ย่าเกตุปทุมนคินี หลวงปู่มุจรินทร์  ซึ่งถือเป็นพญานาคราชคุ้มครองพระพุทธเจ้า และพญาดำแสนศิริจันทรานาคราช

บริเวณประตูทางเข้ามีรูปปั้นพญามังกรคู่ หันหน้าเข้า หากัน เพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลและความศักดิ์สิทธิ์แก่พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปสักการะขอพร

ความที่อากาศบ้านเราค่อนข้างร้อน การจะเดินเยี่ยมชมวัดในช่วงกลางวันค่อนข้างจะแผดเผาจริงๆ แต่.. ทางวัดจัดให้ ด้านหนน้ามีมุมร่มฟรีไว้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปเยี่ยมชม ก็ถือกันเข้าวัดไปคนละไม้คนละมือ สักการะกันเสร็จก็นำกลับมาไว้ณ จุดเดิม เพื่อให้คนอื่นได้ใช้กันต่อไป

ส่วนด้านข้างมีบึงขนาดใหญ่จัดวางพื้นที่ให้ได้พักผ่อนชื่นชมปลาหลากสายพันธุ์ รวมถึงมีจำหน่ายอาหารปลาเอาไว้ให้บริการ ไม่ใกล้ไม่ไกลกันมีมุมกาแฟ เป็นมุมฮอตฮิตหลบร้อนของเหล่าชาวคณะก็ว่าได้ เรียกว่าแม่ค้ายิ้มแก้มปริ ชงกันไม่หวาดไม่ไหว สแกนจ่ายตังค์แบบด่วน ๆ กันแทบไม่ทัน

หลังจากนั้น ก็เดินทางกันต่อไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ ร้านลมเย็น ร้านขนาดใหญ่ ที่มีบริการครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ อาหาร ของฝาก ของที่ระลึก ในบรรยากาศที่อบอุ่น

… อบอุ่นมาก เรียกว่า ช้อปกันชิลแบบลืมไปเลยว่า ต้องหอบกันขึ้นรถไฟ 555

ด้วยการจัดการที่ยอดเยี่ยมของคณะเจ้าหน้าที่ ททท.และ ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว  ทำให้เราเดินทางกลับมาถึงสถานีรถไฟศิลาอาสน์เพื่อรอรถไฟขบวนที่ 8 (ด่วนพิเศษ) เส้นทางศิลาอาสน์ – สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ แบบไม่ต้องเสียเวลารอนาน  แถมยังพอมีเวลาในการถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันพอหอมปากหอมคอ

……..

ที่จั่วหัวมาว่า “รวมพลังสื่อ ปู๊น ปู๊น Welcome to อิต ตะ ระ ดุด อุตรดิตถ์” บอกตรงๆ ว่ารวมพลังสื่อกันเต็มที่จริง ๆ…  

ต้องขอบคุณคณะทำงาน ทั้งททท.และ ช... และเป็นกำลังใจให้กับสื่อมวลชนที่ร่วมด้วยช่วยกันดูแลคณะวัยเก๋านับร้อยชีวิตสู่อุตรดิตถ์ในครั้งนี้

ด้วยเพราะเป็นแนวทางของชมรมฯ อยู่แล้ว ที่จะมุ่งส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนในแต่ละท้องถิ่นที่ไปเยือนทั่วประเทศ โดยเฉพาะการนำสารที่ได้รับทั้งหมดเผยแพร่ส่งต่อสู่สาธารณชนเท่าที่จะสามารถนำเสนอได้

นั่นหมายความถึงว่า สิ่งที่คณะลูกทัวร์วัยเก๋าได้รับ มาจากความตั้งใจมั่นที่มีมานานกว่าสี่สิบปีของชมรมฯ และหัวใจในการบริการของสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทางด้วยความเหมาะสมและเต็มใจ อาจไม่เพอร์เฟคโดนใจทุกๆ คน 

แต่ถือว่า โดนใจ สื่อเล็ก ๆ ที่ชื่อ บีทริปนิวส์ เต็มๆ 

อุตรดิตถ์ สวัสดี เมืองสามวัฒนธรรม ไทยกลาง ล้านช้าง ล้านนา 

ปู๊น ปู๊น เจอกันใหม่ทริปหน้า จะเป็นที่ไหน ติดตามกันต่อคะ

………….

นาริฐา จ้อยเอม เรื่องและภาพ

บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าว B Trip News

ขอขอบคุณ 

คุณศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์

คุณสมชาย ชมภูน้อย ผอ. ททท.ภูมิภาคภาคเหนือ

คุณภัททิรา คำอภิวงศ์ รองผอ.ททท.สำนักงานแพร่(ศูนย์ฯ อุตรดิตถ์ )

คุณกรรชกร ประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดอุตรดิตถ์

คุณวชิรพันธ์ เตชะเอราวัณ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

คุณนวรัตน์ ทรงเกียรติกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทประชารัฐรักสามัคคีอุตรดิตถ์

คุณวินัย ใจกว้าง นักประชาสัมพันธ์ปฏิบัติการ ผู้ช่วยประชาสัมพันธ์ อศ.

ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์

คุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว

คุณอุษณา ปรียากร คุณสมพิศ พิทักษ์กุล คุณเพลินพรรณ สุจริตกุล คุณพูลผล แพทอง และสมาชิกชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ไม่ได้เอ่ยนามทุกท่าน

#สุขทันทีที่เที่ยวอุตรดิตถ์

‎#ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว

‎#GrandMomentอุตรดิตถ์

‎#ท่องเที่ยวเมืองลับแล

‎#AmazingThailand

‎#SeasonOfNorth