อธิบดีสค.เผยทิศทางและนโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปี 61

ในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.00 น. ณ ห้องเมจิก 3 โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานโครงการพัฒนาการบริหารจัดการตามแนวทางการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ครั้งที่ 1 และบรรยายพิเศษ หัวข้อ “ทิศทางและนโยบายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของ สค.” กล่าวรายงาน โดย นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง เลขานุการกรม ผู้เข้าร่วมโครงการประกอบด้วย ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ สค. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น จำนวน 120 คน


   

   

   

นายเลิศปัญญา กล่าวว่า การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เป็นการประเมินเชิงบวกที่ครอบคลุมการปฎิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐในทุกมิติตั้งแต่การบริหารของผู้บริหารจนถึงการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตลอดจนการประเมินระบบโดยเฉพาะกระบวนการเปิดเผยข้อมูลขั้นตอนกระบวนการปฏิบัติงานและการให้บริการที่มีมาตรฐานและเป็นธรรม รวมไปถึง การประเมินวัฒนธรรมในหน่วยงานที่มุ่งเน้นการสร้างวัฒนธรรมและค่านิยมสุจริต ซึ่งมีความสำคัญและสะท้อนให้เห็นถึงคุณลักษณะที่ดีในการดำเนินงานอย่างมีคุณธรรมและธรรมาภิบาล

นายเลิศปัญญา กล่าวต่ออีกว่า โครงการพัฒนาการบริหารจัดการตามแนวทางการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐครั้งนี้ เป็นการให้ความรู้และเตรียมความพร้อมในการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ สค. ประจำปี 2561 โดยเปิดโอกาสให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมได้มีส่วนร่วมในการวางแนวทางและจัดทำแผนพัฒนากรม ในด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นจึงเป็นการพัฒนาบุคลากรและระบบการทำงานในเรื่องดังกล่าว ถือเป็นการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับทุกภาคส่วนของกรมในการป้องกันการทุจริตและการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนตามยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและระยะที่ 3 พ.ศ. 2560 ถึง 2564 และแนวทางที่สำนักงาน ป.ป.ช. กำหนด

“ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 สค. มุ่งเน้นให้มีการกำหนดระบบการปฎิบัติงานที่ยั่งยืนและเป็นรูปธรรมเพื่อจะได้ต่อยอดไปสู่การยกระดับการรับรู้และสะท้อนภาพลักษณ์ของหน่วยงานตามการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก ทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อไป” นายเลิศปัญญา กล่าวในตอนท้าย