Update Newsท่องเที่ยว B Tripแหล่งเที่ยว

แซ่บนัวของกิน เมืองสุรินทร์ถิ่นช้าง ( ตอน 1 )

กับเส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน (Gastronomy Tourism)

หลังจากกองบก. btripNews ได้นำเสนอเส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน กันมาแล้วจากการเลือกสรรของททท. 2 ภาค 2 จังหวัดนำร่อง คือจังหวัดตราดและจังหวัดตาก ครั้งนี้เราไปกันต่อที่ภาคอีสานกันบ้าง ที่จังหวัดสุรินทร์ โดยการนำของผอ.คมกริช ด้วงเงิน ผู้อำนวยการส่งเสริมการบริการท่องเที่ยว ฝ่ายส่งเสริมสินค้าการท่องเที่ยว ททท. และนาย อิสระ สาตรา ผู้ช่วยผู้อำนวยการททท.สำนักงานสุรินทร์ พร้อมด้วยณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด นักแสดง นำคณะสื่อมวลชนเข้าร่วมโครงการเส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน (Gastronomy Tourism) เพื่อขานรับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจใภูมิภาคของรัฐ ด้วยการใช้การท่องเที่ยวมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก

( บทสัมภาษณ์ http://www.btripnews.net/?p=25811 )

วนอุทยานพนมสวาย

การเดินทางเริ่มต้นในเช้ามืดของวัน เพียงไม่นานนักเจ้านกเหล็กก็พาคณะมาสู่จังหวัดบุรีรัมย์เพื่อเดินทางกันต่อไปยัง จังหวัดสุรินทร์ จุดหมายปลายทางแรกคือ วนอุทยานพนมสวาย เพื่อกราบอัฐิหลวงปู่ดุล เกจิอาจารย์ชื่อดังที่ชาวบ้านเคารพศรัทธา



วนอุทยานพนมสวาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ที่มีร่องรอยอารยธรรม ของชาวขอมโบราณ หลอมรวมกลายเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียง

ทุกปีจะมีประเพณีสำคัญในช่วงวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ชาวเมืองสุรินทร์จะชวนกันเดินขึ้นเขาพนมสวาย จนเป็นประเพณีที่ทำสืบทอดกันมาเพื่อเป็นสิริมงคลต่อตนเอง คำว่า พนมสวาย เป็นคำภาษาพื้นเมืองของชาวสุรินทร์ มีความหมายว่า ภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาบัว อำเภอเมือง และตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาสวาย มีพื้นที่ทั้งหมด 18,145 ไร่ ได้รับการประกาศเป็นวนอุทยานเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2527 ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ของจังหวัดสุรินทร์ เต็มไปด้วยป่าไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นวนอุทยานเฉลิมพระเกียรติในประเทศไทย และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธา





เจ้าหน้าที่ สุเทียน ถึงไชย กล่าวว่า สถานที่ท่องเที่ยวในวนอุทยานแห่งนี้ มี 9 สิ่ง 1 สถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุล 2 ศาลเจ้าแม่กวนอิม 3 รอยพระพุทธบาทจำลอง 4 บารายหรือสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ 5 พระพุทธรูปองค์ดำ 6 พระพุทธสุรินทรมงคล นามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9  7 ฐานปราสาทหินพนมสวาย 8 อัฐิศิษย์เอกหลวงปู่ดุล มีมณฑลบูรพาจารย์เก็บของใช้ท่านไว้ ที่พนมศิลาราม 9 เต่าหินศักดิ์สิทธิ์










เมื่อขึ้นมายังฐานองค์พระใหญ่ เราสามารถเดินรอบฐานองค์พระ จะมองเห็นปล่องไฟ มีจุดชมวิว จะเห็นเขาช่องจอมซึ่งติดกับเขมร มีเทือกเขาพนมดงรักกั้นอยู่ ผมมาอยู่ได้ 18 ปี สภาพไม่เป็นอย่างนี้ จนปี 2549-50 สมัยก่อนเป็นทางลูกรัง ตอนนี้เราพัฒนาขึ้น”



ที่นี่ฟรี ไม่ได้เก็บค่าเข้า รายได้ส่วนหนึ่งจากงบประมาณ อีกส่วนหนึ่งมาจากการจำหน่ายดอกไม้ ซึ่งแล้วแต่ศรัทธาของผู้มาสักการะ

เรียกว่าเพื่อให้ได้บุญแรงต้องเดินขึ้นไปจนถึงฐานองค์พระ บันไดไม่กี่ร้อยขั้นเอ๊ง  ....



ก็หมดสภาพกันไปเล็กน้อย ต้องไปปรับสภาพกันที่ร้านอาหารต่อ อิอิ

อาหารพื้นเมืองมื้อแรกของเราคือที่แม่พิมพ์ปลาเผา มีหลายชนิดที่ยกมาเสริฟ แต่ที่ถูกอกถูกใจ (บางคน) เห็นจะเป็น “อังแก๊บบ๊อบ” หรือ กบยัดไส้ (เครื่องเทศ) ย่าง อาหารถิ่นที่ขึ้นชื่อของชาวสุรินทร์ฝีมือหนุ่มอีสานที่ยืนปิ้งยิ้มเล็กยิ้มน้อยเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน







ตลาดน้ำราชมงคลสุรินทร์ 

หลังจากนั้นเดินทางกันต่อไปยัง ตลาดน้ำราชมงคลสุรินทร์ ตั้งอยู่บริเวณท่าน้ำลำห้วย หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ถนน สุรินทร์ - ปราสาท ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ ห่างจากตัวจังหวัดเพียง 3 กิโลเมตร โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ร่วมกับ กองกำลังสุรนารี ร่วมก่อตั้ง







ในตลาดริมน้ำ ยังเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เลาะเลี้ยวริมฝั่งลำน้ำห้วยเสนงซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงคนในจังหวัดสุรินทร์มายาวนาน รวมถึงกิจกรรมนั่งช้างชมป่า ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยการนั่งช้างไปตามเส้นทางประวัติศาสตร์ 60 ปี การเสด็จประพาสสุรินทร์

เอกสารบ่งบอกว่า ตลาดน้ำราชมงคลสุรินทร์ เปิดเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 น.–18.00 น. ตลาดน้ำแห่งนี้จะคึกคักเป็นพิเศษในวันอาทิตย์ เนื่องจากมีตลาดนัดกรีนมอร์ จำหน่ายสินค้าชุมชนในบริเวณเดียวกันด้วย

เอิ่ม..... แต่วันนี้แค่เกือบเที่ยงเท่านั้นตลาดก็วายซะละ ... เลยเก็บภาพมาฝากได้แค่นิดหน่อย เห็นบอกว่าเพราะหน้าฝน พ่อค้าแม่ขายเลยรีบเก็บกัน

ผ้าไหมทอบ้านท่าสว่าง 

หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงหัตถกรรมผ้าไหมแห่งเดียวของประเทศ บ้านท่าสว่าง เป็นหนึ่งหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยวของสุรินทร์ บ้านท่าสว่างเดิมชื่อบ้านเตรี๊ยะ เป็นภาษาพื้นบ้าน (เขมร) คำว่าเตรี๊ยะ เป็นชื่อพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่ง ภาษาไทยว่าต้นชาด บรรพบุรุษของชาวบ้านเตรี๊ยะ อพยพมาจากบ้านระเภาร์ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ห่างจากบ้านเตรี๊ยะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2485 ได้รวมหมู่บ้านเตรี๊ยะกับหมู่บ้านอื่นๆ เป็นตำบลท่าสว่าง และบ้านเตรี๊ยะ ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบ้านท่าสว่างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 





การทอผ้าไหมลายไทยและลายชั้นสูงแบบราชสำนักโบราณ มีจุดเริ่มต้นมาจาก อ.วีรธรรม ตระกูลเงินไทย พื้นเพเป็นคนบ้านท่าสว่าง เกิดมาก็เห็นภาพญาติและชาวบ้านทอผ้าไหมกันทั้งหมู่บ้าน ทำให้ซึมซับขั้นตอนการทำผาไหมอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับความชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก จึงเลือกเรียนคณะศิลปะประจำชาติ วิชาเอกจิตรกรรมไทยที่เพาะช่าง

เมื่อมีความรู้เพิ่มพูนเกี่ยวกับออกแบบลวดลายไทยและลายชั้นสูงแบบราชสำนักโบราณ จึงนำมาประยุกต์รวมเข้ากับการทอแบบพื้นเมือง ตามภูมิปัญญาชาวบ้านในถิ่นฐานเดิมของตัวเอง มีการวบรวมผู้เฒ่าผู้แก่กลับมาทำงานทอผ้าไหมอีกครั้งในชื่อกลุ่มอาชีพทอผ้ายกทองจันทร์โสมา







“งานของอาจารย์มีชื่อเสียง จากการได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองการราชเลขาในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ งานที่ทำให้คนรู้จักชื่อเสียงมากขึ้นคือ การทอผ้ายกทอง ทูลเกล้าถวายสมเด็จพระนาเจ้าพระบรมราชินีนาถ รวมถึงการทอผ้าสำหรับตัดเสื้อผู้นำ 21 ประเทศและผ้าคลุมไหล่ภริยาที่เข้าประชุมเอเปค 2003” อ.นิรันดร์ ไทรเล็กทิม เลขาอาจารย์วีรธรรม 

รับรองได้ว่า... การได้เยี่ยมชมการทอผ้าไหมลายไทยและลายชั้นสูงของราชสำนักโบราณของที่นี่ สุดยอดอเมซิ่ง เรียกว่าหาไม่ได้อีกแล้ว ทั้งจำนวนคนทอ จำนวนกี่ที่ทำเอาต้องสร้างห้องใต้ดินเพื่อให้สามารถเก็บงานที่ละเอียดนี้ครบขั้นตอน  ความละเอียดอ่อนของลวดลาย การใช้ศาสตร์และศิลปะในหลายแขนงเพื่อผสมผสานให้ก่อเกิดผลงานอันวิจิตร .... สุดยอดจริงๆ  





( อ่านต่อตอนต่อไป )