นางไพรวัลย์ คำจริง นักวิชาการชุมชนชำนาญการ สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอตาลสุม
“...เสน่ห์ของอีสาน ...น่าค้นหา เขามีเสน่ห์ในตัวของเขาอยู่แล้วเพียงแต่เราจะนำเสนออย่างไร” แม้จะเพิ่งเปิดตัวปักหมุดให้เป็นชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี “เส้นทางธรรมนำวิถีพอเพียง” ของอำเภอตาลสุม โดยนายมงคล ปัตลา พัฒนาการจังหวัด แต่ทุ่งนาบัวห่องแดง ตำบลนาคาย อำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี ก็กลายเป็นแหล่งยอดฮิตของนักท่องเที่ยวได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยอัตลักษณ์ เสน่ห์ของท้องทุ่งนาข้าวและนาบัว อีกทั้งภูมิปัญญาและด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอัธยาศัยของคนพื้นถิ่น ... ทำให้สถานที่แห่งนี้พร้อมแล้วที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยว อัตลักษณ์พื้นถิ่น นางไพรวัลย์ คำจริง นักวิชาการชุมชนชำนาญการ สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอตาลสุม พัฒนากรรับผิดชอบตำบลนาคายและจิกเทิง เจ้าหน้าที่ผู้อยู่เบื้องหลังงาน เล่าว่า เริ่มแรกมีโครงการชุมชนโอท็อปนวัตวิถี โดยให้มาประชุมเพื่อค้นหาอัตลักษณ์ในชุมชนเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา เริ่มแรกก็เข้ามาประชุมชาวบ้านเพื่อให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม หลังจากนั้นเมื่อได้อัตลักษณ์ของที่นี่แล้วจึงเริ่มพัฒนา โดยการพัฒนาจะทำอยู่สองเรื่อง หนึ่งเรื่องของสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านเพื่อพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว สองคือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมของหมู่บ้านให้มีความหลากหลาย เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ชุมชน ก็พบว่าที่นี่จุดเด่นคือเรื่องของทุ่งนาบัวที่บ้านห่องแดง ซึ่งทำมายี่สิบถึงสามสิบปีมาแล้ว และพบว่า บัว จะอยู่ได้เพียงระยะสั้น ทานได้ต้องภายในหนึ่งวัน ถ้าเกินหนึ่งวันก็จะไม่น่าทานแล้ว จึงมาคิดว่าจะพัฒนาบัวอย่างไร จึงมาแปรรูปเป็น ดีบัวมาทำเป็นชาดีบัว และบัวมาร้อยเป็นสร้อยคอ ฝักบัวแห้งก็มาทำเป็นปิ่นปักผมและเป็นดอกไม้ปักแจกันโดยได้รับความอนุเคราะห์จากกศน. มาสอน และน้ำนมเม็ดบัวเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวมากเพราะดีกับสุขภาพ มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากรมาช่วยสอนชาวบ้าน และก็มีชากลีบบัว ชาเกสรบัว ทุกอย่างของบัวมาทำประโยชน์ ผลิตภัณฑ์นมเม็ดบัว ชาวบ้านจะมาร่วมกันทำทุกวัน ประมาณ 100 ขวด ตอนเย็นจะเริ่มทำ ซึ่งรวมกลุ่มแม่บ้านกัน มีผลิตภัณฑ์หลายตัว วุ้นเม็ดบัว ข้าวเกรียบเม็ดบัว ข้าวต้มมัดจิ๋วเม็ดบัว และยำเม็ดบัว คอนเซ็ปต์ของนวัตวิถีก็คือ ทำอย่างไรที่จะดึงนักท่องเที่ยวจากที่อื่นมาเที่ยวบ้านเรา จึงปรับภูมิทัศน์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยชูบัวเป็นจุดเด่น และมีการออกแบบสะพานไม้ไผ่เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวแออัดมากก็ทำสามสะพาน จากโครงการนี้ก็จะมีจุดสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวได้เพียงพอ ซึ่งแต่ละจุดจะมีความแตกต่างกัน นี่คือเสน่ห์ของนาบัวที่นี่ การเดินทาง ทางด้านการเดินทางไปยังทุ่งนาบัวแห่งนี้ นางไพรวัลย์กล่าวว่า "จากตัวอำเภอเมืองเดินทางประมาณ 40 นาที ระยะทาง 30 กิโลเมตรก็จะถึงบริเวณ ทุ่งนาบัวบ้านห่องแดง ที่นี่เป็นทางลาดยางสะดวกสบายและที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับธรรมชาติ อีกอย่างหนึ่งคือในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ช่วงหน้าหนาวบัวจะล้ม จะสามารถรับนักท่องเที่ยวได้9 เดือน ตั้งแต่กุมภาพันธ์จนถึงเดือนพฤศจิกายน ในช่วงนาบัวล้มเราก็จะสร้างเสน่ห์ตัวใหม่ คือนอนฟังสะนูว่าว เรามีโฮมสเตย์ ไว้รองรับนักท่องเที่ยว ว่าวที่มีสะนูซึ่งเมื่อติดไปกับว่าวแล้วเวลาลมพัดจะมีเสียงคล้ายเสียงดนตรี ช่วงนั้นจะเป็นหน้าเกี่ยวข้าว ทุ่งนาจะเหลือง ซึ่งนักท่องเที่ยวมาก็จะเห็นทุ่งนาเหลืองสวยงามและทุ่งนาบัว นอนกองฟาง ฟังเสียงสะนูว่าว นอกจากจะเป็นทุ่งนาข้าวแล้วยังเป็นทุ่งนาบัว ซึ่งตรงนี้เป็นเสน่ห์ของเขา เราได้จากการค้นหาอัตลักษณ์ ค้นหาเสน่ห์ของที่นี่ การเข้ามาพัฒนาชุมชน นางไพรวัลย์ กล่าวต่อว่า เราต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับที่นี่ให้โอกาสชาวบ้านในการพัฒนาในบริบท ของเขา บ้านจากธรรมดาก็เริ่มตื่นตัวในการพัฒนา รักษาความสะอาดหน้าบ้าน จะเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิม การต้อนรับนักท่องเที่ยว 5 S ต้องมี 1 Smile รอยยิ้มต้อนรับนักท่องเที่ยว 2 Story เรื่องราวที่น่าสนใจ การทำบัวเริ่มมาจากใคร มีเรื่องราว 3 Secret เคล็ดลับของที่นี่คือการทำผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย 4. Spirit คือต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยใจโอบอ้อมอารีย์ 5 Surprise นักท่องเที่ยวจะตื่นเต้นกับการเข้ามาเยี่ยมเยียนหมู่บ้าน เพราะตรงนี้อยู่ในกลุ่มของเส้นทางธรรมนำวิถีพอเพียง ถ้ามาที่นี่จะมีธงทิวมาเลย จะซึมซับบรรยากาศวัฒนธรรมดั้งเดิม ด้านปัญหา “... แรกๆ จะมีปัญหาเรื่องของคน เพราะบ้านนี้เป็นบ้านเล็กมากมีแค่ 55 หลังคาเรือน อบรมโครงการแรกจะต้องให้มีคนเต็ม เพราะตื่นเช้ามาวิถีชีวิตของเขาคือการออกไปขายบัว ทำให้ประชากรก็ลดลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทุกคนจะขึ้นรถไปขายบัวตามต่างจังหวัด ก็ขอเขาให้ร่วมมือกันให้มาอบรมมาฟังกันก่อน อีกปัญหาคือ ผู้ชายจะน้อยกว่าผู้หญิง ผู้ชายจะออกไปทำงาน การมีส่วนร่วมในการพัฒนาจะไม่ครอบคลุมร้อยเปอร์เซ็นต์ จะมีผู้ร่วมเพียง 80 % แนวทางแก้ไข คือให้ทุกครัวเรือนมีส่วนร่วมโดยการผลัดกันมา อย่างเช่นการพัฒนารั้ว คือการทำโครงสร้างพื้นฐานของสะพาน หรือการจัดเวรยามในการตรวจตราตอนเย็น เพราะตอนเย็นจะมีวัยรุ่นจากต่างพื้นที่เข้ามา ก็จะจัดเวรยามวันละ 2 คน หนึ่งทุ่มก็จะไม่ให้นั่งเป็นกลุ่ม” ส่วนของที่พัก ทางด้านที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว นางไพรวัลย์ กล่าวว่า “โฮมสเตย์ภายในหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวถ้ามาเป็นกลุ่ม มาดูงาน 50-100 แต่ถ้านอนจะนอนได้ 50 คน เป็นกลุ่มเล็กๆ ก่อน เพราะตอนนี้สกรีนได้ 10 หลังคาเรือน ก็เชิญการท่องเที่ยวเข้ามาให้ความรู้เรื่องการออกมาตรฐานโฮมสเตย์ ซึ่งก็จะพัฒนาไปให้ก้าวสู่มาตรฐาน นักท่องเที่ยวสามารถมานอนที่นี่ได้ มาซึมซับธรรมชาติ เป็นเสน่ห์ของอีสาน ซึ่งน่าค้นหา เขามีเสน่ห์ในตัวของเขาอยู่แล้วเพียงแต่เราจะนำเสนออย่างไร ” ทางด้านผู้นำอาสาชุมชน ปัฐมากร พิลากุล เสริมว่า ตั้งแต่ปี 2556 มีคนทำนาบัวแค่ 3-4 ครัวเรือน แรกๆ ไม่มีใครสนใจ คุณตาที่มาจากที่อื่นนำดอกบัวมาขาย ชาวบ้านเริ่มขายดอกบัวแต่ก็ต้องไปรับมาจากที่อื่น จนตอนหลังเมื่อมีชลประทานเข้ามา มีน้ำก็ทำให้สามารถทำนาบัวได้เพราะต้องทำกันใกล้แหล่งน้ำ บัวค่อนข้างจะอ่อนต่อสารเคมีมาก ในตอนแรกที่ทำนาบัวกันก็ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง เพราะพื้นที่เราเป็นที่ราบลุ่ม ทำนาข้าวด้วยทำนาบัวด้วย เคยมีคนทำนาข้าวแล้วฉีดสารเคมีเมื่อไหลลงสู่แหล่งน้ำบัวก็เสียหายทั้งทุ่ง ทำให้ชาวบ้านได้เข้าใจว่า การทำนาบัวให้ปลอดภัย ต้องทำนาข้าวให้ปลอดภัยด้วย การทำนาบัวอินทรีย์นั้นปลอดภัยเพราะพื้นที่บ้านเราเลี้ยงควาย ก็ใช้มูลวัวมูลควายในการทำ ปัจจุบัน 90 % ทำนาบัวอินทรีย์ ถ้ามาเที่ยว มาตอนเช้าเขาจะเก็บดอกบัวได้ทั้งทุ่ง มี 25 เจ้า เป็นนาอินทรีย์ ตอนนี้ยังไม่หมดทุกเจ้าแต่เราก็พยายามให้ทุกคนได้ทำนาบัวอินทรีย์ ทั้งหมด ด้านการตลาดก็มีกลุ่มบริหารนำออกไปจำหน่ายด้วยและมีตลาดรับซื้อบัวอยู่ในหมู่บ้าน ก็จะมีพ่อค้าคนกลางมาซื้อไปขายต่อยังจังหวัดต่าง ๆ และมีมารับจากที่นี่ไปจำหน่าย หลายคน ไม่ต้องออกไปเช่น อำนาจเจริญ ช่องเม็ก ยโสธร ลาวสะวันเขตมาจะซื้อเยอะมาก เขาจะเหมากลับไป รสชาติของเม็ดบัวที่นี่จะหวานกรอบ ลูกค้าจะจำได้ ถ้าบัวตาลสุมของแท้ต้องบ้านห่องแดง สนใจสอบถามข้อมูลชุมชนท่องเที่ยวได้ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอตาลสุม โทรศัพท์ 081-8234131"