หนาวนี้..โปรดระวัง “โรคหัด” โตแล้วก็ป่วยได้ พบมากในโรงเรียน-โรงงาน-เรือนจำ

            นายแพทย์สุวรรณชัย  วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าจากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคหัดในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม–14 ตุลาคม 2562 มีผู้ป่วย 4,582 ราย และเสียชีวิต 17 ราย พบมากในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ กลุ่มอายุ 15-24 ปี 25-34 ปี และเด็กต่ำกว่า 5 ปีในบางพื้นที่ จังหวัดที่มีอัตราป่วยสะสมสูงสุด 3 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส เพชรบุรี และปัตตานี ส่วนการพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนพบมากที่สุดในโรงเรียน โรงงาน และเรือนจำ จำนวน 12, 10 และ 8 เหตุการณ์ตามลำดับ

                “การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่าช่วงนี้จะพบผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นโรคที่พบมากในฤดูหนาว และประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว โดยผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด คือมีไข้ ไอแห้งๆ มีน้ำมูก และตาแดง หลังจากมีไข้ประมาณ 3–4 วันจะเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นที่ใบหน้า แล้วค่อยลามไปแขนและขา เมื่อผื่นขึ้นประมาณ 1-2 วัน ไข้จะเริ่มลดลง แต่บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงทำให้เกิดปอดอักเสบ และสมองอักเสบได้

            โรคนี้ติดต่อผ่านทางเดินหายใจ เพราะเชื้อไวรัสอยู่ที่ในลำคอและปะปนออกมากับละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายที่ผู้ป่วยไอหรือจาม และมักพบผู้ป่วยในพื้นที่ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดไม่ทั่วถึง  ซึ่งโรคนี้สามารถป้องกันได้ โดยให้เด็กเล็กรับวัคซีนป้องกันโรคหัด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน เป็นวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) และให้ซ้ำอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อเด็กอายุ 2 ปี 6 เดือน

            กรมควบคุมโรค ขอแนะนำว่า ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปรับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด หากมีอาการไข้ ไอ และผื่น ควรรีบไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการวินิจฉัยยืนยันโรคหัดแล้วควรหยุดเรียนหรือหยุดงานประมาณ 4 วันหลังจากผื่นขึ้น ส่วนในสถานที่ที่มีผู้อาศัยอยู่แออัด เช่น เรือนจำ ค่ายทหาร ควรมีการคัดกรองและแยกพื้นที่สำหรับผู้ป่วยโรคหัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว