วศ. จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ“ถอดรหัส Healthcare ไทยก้าวไกลสู่มาตรฐานสากล”
กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดสัมมนา เรื่อง “ถอดรหัส Healthcare ไทยก้าวไกลสู่มาตรฐานสากล” มุ่งหวังพลังความร่วมมือทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาศักยภาพงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อต่อยอดในการพัฒนา ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นของประเทศ โดยมี นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่างกรมวิทยาศาสตร์บริการ ร่วมกับ 15 หน่วยงาน เรื่อง “เครือข่ายพันธมิตรยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพ ของประเทศ ด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ ณ โรงแรม เดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพฯ นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิต และการบริการด้านสาธารณสุข ทำให้เห็นการพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์ เกิดขึ้นภายในประเทศ ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน รวมถึงการพัฒนา ห้องความดันลบ เพื่อลดความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ การพัฒนาหุ่นยนต์สนับสนุน การปฏิบัติงาน ทางการแพทย์ การให้คำปรึกษาของแพทย์ทางไกล และเห็นถึงการรวมพลังการทำงานของหลากหลาย หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของประเทศไทยในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาด ของเชื้อโควิด-19 ทำให้ทั่วโลก เห็นถึงขีดความสามารถด้านการสาธารณสุขของไทย และเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะยกระดับ ระบบสาธารณสุข และพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ให้เป็นศูนย์กลาง ของภูมิภาคสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างโอกาสการปรับเปลี่ยน ระบบสาธารณสุขของประเทศไทย หรือ Healthcare Reinventing ให้ดียิ่งขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุน ให้อุตสาหกรรมการแพทย์ เป็นอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ของประเทศภายใต้โมเดล BCG Economyนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้นโยบาย Healthcare Reinventing ของ อว. ที่ส่งเสริมนำนวัตกรรมมาพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนายาและวัคซีน เครื่องมือแพทย์ การให้บริการทาง การแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น ในการผลักดันอุตสาหกรรมทางการแพทย์สู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ได้นั้น ต้องอาศัยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศเป็นกลไกสำคัญ เพื่อยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ จึงได้จัดตั้งเครือข่ายพันธมิตรยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ ร่วมกับ 15 หน่วยงาน จาก 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ, กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดกรอบและแนวทาง การปฏิบัติในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ภายในประเทศสู่เชิงพาณิชย์และได้รับการยอมรับ ในต่างประเทศต่อไป กรมวิทยาศาสตร์บริการ ซึ่งมีภารกิจด้านการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ และการพัฒนา หน่วยตรวจสอบและรับรองเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย จึงได้จัดสัมมนา เชิงปฏิบัติการ “ถอดรหัส Healthcare ไทยก้าวไกลสู่มาตรฐานสากล” มุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา ทั้งจากภาครัฐ มหาวิทยาลัย ภาคเอกชน ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม และผู้ที่สนใจทั่วไป ได้เห็นถึงพลังความร่วมมือ ของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ในช่วงวิกฤต เป็นการ ถอดบทเรียน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาครั้งสำคัญที่นำโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคุณภาพของประเทศ มาใช้ เพิ่มศักยภาพการพัฒนาและขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรม สามารถนำไปใช้ต่อยอดเป็นแนวทางในการพัฒนา ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอื่นในอนาคต
ภายในงานประกอบด้วยพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ เรื่อง “เครือข่ายพันธมิตรยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ทางคุณภาพของประเทศด้านนวัตกรรมทางการแพทย์” การบรรยายพิเศษ เรื่อง “Healthcare Reinventing” โดยศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนา ของ สบค. การเสวนาถอดบทเรียนการพัฒนาชุด PPE ภายในประเทศเพื่อรองรับ สถานการณ์โรคระบาด” ซึ่งจะเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้และบทเรียนสำคัญจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ และการสัมมนา 3 กลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มที่ 1 มาตรฐานการผลิตชุด PPE ในประเทศไทย กลุ่มที่ 2 มาตรฐานและการทดสอบหน้ากาก N95 และหน้ากากอนามัยแบบผ้า และกลุ่มที่ 3 การพัฒนาหมวกอัดอากาศความดันบวกหรือ PAPR และ Specification
งานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “ถอดรหัสHealthcare ไทยก้าวไกลสู่มาตรฐานสากล” ในครั้งนี้เป็นการถ่ายทอด ประสบการณ์การพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์ที่อาศัยกลไกการบูรณการของทุกภาคส่วนภายใต้ สถาณการณ์วิกฤติ และยังเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน ได้มีส่วนร่วมแลกเปลี่ยความคิดเห็นข้อเสนอแนะ การร่วมมือกันนำระบบ โครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศและคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป