พญาไท – เปาโล Thanks Press Trip “แอ่วเหนือ ม่วนใจ๋ เชียงใหม่”

เมื่อวันที่ 25-27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คณะผู้บริหารรพ. พญาไท - เปาโล นำคณะสื่อมวลชนสามสิบกว่าชีวิตเดินทางสู่ภาคเหนือ เพื่อร่วมกิจกรรมขอบคุณสื่อมวลชน โดยการจัดทริปของบริษัท ไอเลิฟทราแวล ทัวร์ แอนด์ เซอร์วิส 3 วัน 2 คืน งานนี้จัดหนักม่วนใจ๋กันทั้งผู้จัดและผู้ร่วมงานกันเลยทีเดียว

โดยการเดินทางเริ่มขึ้นในเช้าตรู่ของวันที่ 25 พฤศจิกายน จากสนามบินดอนเมือง เพียงหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่ โดยสายการบินนกแอร์ หลังจากรับสัมภาระเรียบร้อย การเดินทางเพื่อแอ่วเหนือก็เริ่มต้นขึ้นโดยมุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนท์ เพื่อสัมผัสความหนาวของวัน 



สถานที่แรกสุดชิคอย่างเก๊าไม้ล้านนา ก็ต้อนรับคณะของเราด้วยบรรยากาศที่สุดคลาสสิค ที่นี่ได้รับรางวัลมากมาย มีชื่อเสียงมานานพอสมควรแล้ว หลายคนที่ขึ้นเชียงใหม่ ที่นี่ก็คงเป็นหนึ่งในจุดที่ต้องมาเดินเล่นแวะจิบกาแฟกัน ด้วยการออกแบบที่คงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติจากการนำที่พักมาดัดแปลงจากโรงบ่มใบยาสูบซึ่งกาลเวลาทำให้ไม้เลื้อยปกคลุมอาคารทั้งหลังกลายเป็นเสน่ห์ที่หลายคนไม่พลาดเข้ามาเยือน



ปัจจุบันมีการแบ่งสรรปันที่เพื่อการหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่พัก จุดถ่ายภาพ หรือแม้แต่พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของการเริ่มต้นและผู้สานต่อจากรุ่นต่อรุ่น

















หลังจากจิบกาแฟ เก็บความประทับใจกันจนหนำแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อเพื่อทานอาหารกลางวัน ณ โครงการหลวงอินทนนท์ ก่อนจะเดินทางกันต่อไปสัมผัสความหนาวกันบนดอย







ที่ดอยอินทนนท์ ในช่วงบ่ายโมงยอดเขาที่สูงที่สุดและถือเป็นหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเชียงใหม่โดยเฉพาะจุดชมวิวก็ยังคงเก็บความสดชื่น อากาศเย็นสบายเอาไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ด้วยพันธ์ไม้ใหญ่ที่ถูกแซมแทรกด้วยเฟิร์นเขียว ไม้เลื้อยเกี่ยวพันโยงระย้าตลอดทางเดิน 



ความเขียวขจีของพืชพันธ์ทำให้การเดินตลอดทางที่เจ้าหน้าที่จัดไว้เป็นแบล็คกราวน์สำหรับมือถือได้แบบกดกันรัวๆทีเดียว



หลังสัมผัสอากาศเย็นๆ กันก็เดินทางกันต่อเพื่อไปสักการะพระมหามหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล &พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ พระมหาธาตุคู่พระบารมี รัชกาลที่ 9 และพระราชินี



พระมหามหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล &พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ สร้างขึ้นโดยกองทัพอากาศและพสกนิกรชาวไทย โดยพระมหาธาตุนภเมทนีดล สร้างถวายองค์รัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบเมื่อปี พ.ศ. 2530 และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สร้างถวายพระราชินี ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบเมื่อปีพ.ศ. 2535





พระมหาธาตุนภ เมทนีดล มีความหมายว่า “ พระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจรดดิน” ถือเป็นพระมหาสถูปเจดีย์องค์แรกที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินที่สูงที่สุดในประเทศ ส่วนพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ หมายความว่า ”เป็นกำลังแห่งฟ้าเป็นสิริแผ่นดิน” ด้านบนมีบันไดเลื่อนเพื่อให้พสกนิกรไทยได้ขึ้นไปสักการะ พระพุทธรูปปางพระทานพร ได้สะดวกยิ่งขึ้น



.... และแล้ว วันแห่งการเดินทางวันแรกก็จบลงที่ ทัชสตาร์รีสอร์ท ที่พักตีนดอยอินทนนท์ แต่ความสนุกสนานและเป็นกันเองก็เริ่มขึ้น ณ ห้องอาหารที่จัดเตรียมพร้อมคาราโอเกะให้ได้เบิกบานกัน เต็มที่ เต็มอิ่ม หลังจากการกล่าวต้อนรับและขอบคุณของผู้บริหารโรงพยาบาล ที่นำเรามาพบปะเจอกัน

..... วันที่สองของทริปหลังจากทานอาหารเช้า ก็ล้อหมุนไปยังโครงการหลวงขุนแปะ อ.จอมทอง เพื่อเที่ยวชมทุ่งดอกไฮเดรนเยีย ที่บานสะพรั่งรอคอยผู้มาเยือน ที่โครงการหลวงขุนแปะ เราต้องจอดรถตู้เพื่อนั่งรถกระบะของชาวบ้านเพื่อขึ้นสู่พื้นที่เนื่องเพราะถนนหนทางที่ต้องใช้ความบุกบั่นซักหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้ม



สำหรับเราไม่เพียงแต่ดอกไฮเดรนเยียที่หลายคนชื่นชอบ แต่วิถีของชาวดอยที่นี่มีความสุขและมีรอยยิ้มได้ก็ด้วยโครงการหลวงแห่งนี้เข้ามา สีฟ้าสลับขาวของดอกไฮเดรนเยียจูงใจผู้คนเข้ามาเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพกันแบบกดชัตเตอร์รัวๆ ทีเดียว ที่นี่มีดอกไม้ใส่ตะกร้าเก๋ๆเอาไว้ให้ถ่ายรูป คิด 20 บาท หรือจะซื้อก็มีจำหน่าย





การที่ต้องเปลี่ยนจากรถตู้เป็นรถกะบะ ทำให้ได้อรรถรสของการเดินทางทีเดียว เพราะระยะทางจากวัดที่จอดรถขึ้นมาสู่ทุ่งดอกไฮเดรนเยียไม่ไกล ไม่มากจนทรมาน แถมยังให้สนุกสนานกับการเก็บภาพกันอีกด้วย











..... หลังจากนั้นได้เวลาลงมารับประทานอาหารเที่ยงแบบสไตล์น้ำเงี้ยว ข้าวซอย ณ ร้านชื่อดังอย่าง ร้านข้าวซอยฟ้าฮ่าม ก่อนจะขึ้นไปกราบสักการะขอพรพระเจ้าทันใจ ณ วัดพระธาตุดอยคำ วัดที่มีชื่อเสียงด้านการขอพร บนบาน เมื่อบนบานได้ดั่งการขอพรแล้ว ส่วนใหญ่จะนำพวงมาลัยดอกมะลิขึ้นมาถวาย



ถ้าจะนับถึงผู้ที่สมหวังจากการขอพรคงจะไม่หวาดไม่ไหว เพราะเห็นพวงมาลัยกองพะเนินเต็มไปหมด ที่นี่บอกต่อกันว่า หากขอพรเรื่องการขายที่ดิน เรื่องของโชคลาภมักจะประสบผล ก็แล้วแต่บุญกรรมของแต่ละคนนะ เราว่า....





สมัยก่อน มีการจำหน่ายพวงมาลัยดอกมะลิกันเต็มวัด แต่ปัจจุบันมีเฉพาะด้านนอก ไล่กันมาตั้งแต่ทางขึ้นกันเลยทีเดียว ภายในวัดจะมีแต่การเช่าพระที่มีไว้บริการเท่านั้น 



............. 

ค่ำวันนี้ ทางผู้จัดได้เตรียมการให้ทานอาหารกันแบบขันโตก ณ เบญจรงค์ขันโตก พร้อมชมการแสดงแบบล้านนา ซึ่งนอกจากจะมีการแสดงแล้ว ยังมีกิจกรรมพิเศษของทางคณะสื่อมวลชน โดยตัวแทนสื่อได้นำสายสะพายและมงกุฎกิตติมศักดิ์มอบให้แก่คณะผู้บริหารโรงพยาบาลพร้อมกล่าวคำขอบคุณในการดูแลกันและกันแบบครอบครัวระหว่างผู้บริหารและสื่อมวลชนที่มีต่อกันเสมอมา















หลังจากนั้น โรงแรมวินทรี ซิตี้ รีสอร์ท ซึ่งอยู่ในตัวเมืองใกล้กับห้างเมย่าและถนนนิมมานเหมินทร์แหล่งช็อปของเชียงใหม่ ช่วงนี้ก็ตามอัธยาศัยคะ ใครใคร่เดินเล่น ใครใคร่ไปสัมผัสบรรยากาศยามราตรีของเมืองก็แล้วแต่สะดวกเลย

... ริมสระว่ายน้ำของโรงแรม วินทรี จึงเป็นมุมหนึ่งของคนที่ชื่นชอบการนั่งจิบเบียร์ชิลๆ หลังจากไปตะลอนกลางแดดกันมาตลอดวัน

.....

และแล้วก็ถึงวันสุดท้ายของทริป แอ่วเหนือ วันนี้เก็บสัมภาระกันตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังสวนดอกไม้ที่ชื่อสุรชัยฟาร์ม แต่เพราะสภาพอากาศที่เริ่มร้อนแดดแจ๋จ้าของวันผสมกับบรรยากาศชิลๆเมื่อค่ำวาน ทำให้ทุ่งดอกคัทเตอร์สีขาวและดอกมากาเรตสีม่วงและดอกที่ปลูกเรียงไล่สีเป็นสีรุ้ง หลายคนเริ่มขยาดกับความแรงของแดดดอย  

แต่.... เมื่อมาถึงที่แล้ว วิญญาณนักเดินทางต้องมา .... ขอบอก  555 ณ เวลานี้ มีหมวก มีร่ม มีผ้าคลุมหัว จึงเป็นของต้องมี ประโคมเข้าไปค่ะ เพื่อภาพที่สวยงามท่ามกลางดอกไม้สีรุ้ง ว่าที่จริง....ทางไกด์ก็พยายามจัดโปรแกรมให้ตรงกับสภาพอากาศและสภาพสถานที่เที่ยวแล้ว แต่ก็นั่นแหล่ะ .... บ้านเราถ้าแดดมาก็ร้อนเร็วมาก โดยเฉพาะแดดดอย ...แร๊งสสสส์











เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ สุรชัยฟาร์มแห่งนี้ ก็จัดสรรร่มเงาเอาไว้ให้หลบแดด มีกาแฟ ดอกไม้แห้งหลากสีจำหน่าย ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบถ่ายรูปก็ไม่ผิดหวังอีกแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะกับดอกไม้เรนโบว์





.... หลังทานอาหารกลางวันที่ ร้านระเบียง ณ แม่ริม ก็มาถึง โรงแรมเดอะ แกรนด์ โมร็อค (The Grand Morocc Hotel) ที่นี่นอกจากจะเป็นที่พักสไตล์โมร็อคโคที่สีสันสวยงามทั้งการออกแบบ ตกแต่งแล้ว ยังเพิ่มบรรยากาศของการต้อนรับด้วย Afternoon Tea ริมสระว่ายน้ำพร้อมเบาะขนาดใหญ่กลางน้ำเอาไว้ชักภาพเก๋ๆ แบบไม่กลัวคว่ำคะมำกันอีกด้วย ...เอาซี้





และที่สาวๆกรี๊ดกร๊าดน่าจะเป็นเรื่องของการจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเอาไว้ให้สำหรับการถ่ายรูปให้เข้ากับสถานที่ด้วย ทำให้คณะสื่อมวลชนของเรา ต่างแปลงสภาพเป็นทั้งอาบัง ทั้งเฮม่ามาลินี มากันเต็มรีสอร์ททีเดียว.....555







ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างสีสันให้กับนักท่องเที่ยวได้ดีทีเดียว ไม่แน่ใจว่าถึงตรงนี้ มือถือการ์ดจะเต็มกันหมดหรือยัง

...มาทริปนี้นอกจากจะได้เที่ยวแล้ว ยังได้มีโอกาสร่วมทำบุญกับ ปางช้างแม่ริม เพื่อร่วมต่อลมหายใจของช้างและคนเลี้ยงช้างอีกด้วย โดยการแนะนำของน้องอัจ  - อัจฉราวรรณ์ สุวรรณสมบัติ สื่อมวลชนที่เคยเข้ามาที่แห่งนี้และเห็นถึงความเดือดร้อนของทั้งช้างและคนเลี้ยงช้าง นับเนื่องตั้งแต่สถานการณ์โควิท เป็นต้นมา



คุณปานทอง สะอาดศรี ผู้จัดการปางช้างแม่ริม Elephant Home เจ้าของปางช้างผิวเข้ม เล่าให้ฟังว่า ปางช้างแม่ริม Elephant Home อยู่ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเพียง 19 กิโลเมตร เป็นปางช้างเล็ก ๆ มีช้าง 6-10 เชือก จุดเด่น คือการเลี้ยงช้างด้วยหัวใจ นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้ และสัมผัสกับช้าง ที่ใกล้ชิดธรรมชาติได้อย่างแท้จริง ทั้งความเป็นอยู่ในป่า การกินอาหาร และการดูแลสุขภาพ”



นอกจากนี้ปางช้างแม่ริม ยังมีควาญช้าง เป็นเด็กหนุ่ม ชนเผ่าลาหู่ ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของช้างแต่ละเชือก เวลาส่วนใหญ่ต้องอยู่กับช้างที่ตัวเองดูแล ทั้งให้ความรัก ความอบอุ่น และเป็นครูที่สอนช้างด้วย นั่นหมายความว่าการที่นักท่องเที่ยวได้เข้ามาช่วยช้าง ย่อมหมายถึงการช่วยคนเลี้ยงช้าง ที่ทำให้เขาเหล่านั้นมีรายได้นำไปเลี้ยงครอบครัวของตัวเองอีกด้วย



และเมื่อโรคร้าย โควิด-19 เข้ามา ส่งกระทบอย่างหนักต่อช้าง โดยปางช้างแห่งนี้ได้รับผลกระทบมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะด้วยความที่เป็นปางขนาดเล็ก แม้ต่อมาหน่วยงานภาครัฐเข้ามาสนับสนุนให้ทุกคนออกมาท่องเที่ยวแต่ปรากฏว่า นักท่องเที่ยวชาวไทย เข้ามาวันละ 2 - 4 คน และบางวันก็ไม่มีเลย ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเข้าไปเยี่ยมชมปางขนาดใหญ่ ที่มีช้างจำนวนมาก



จนถึงขณะนี้เรียกว่าอยู่ในช่วงการประคองตัว ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย จัดโปรโมชั่นลดครึ่งราคา จาก 1500 บาทเหลือ 850 ต่อคน ถ้ามาเป็นหมู่คณะสามารถลดราคาได้อีก

กิจกรรมสำคัญคือ การเรียนรู้วิถีชีวิตของช้าง การทำสปาเท้าช้าง การตรวจสุขภาพช่องปากช้าง การให้อาหารช้างในแต่ละอายุ การนั่งคอช้างแบบควาญเข้าไปสัมผัสการหาอาหารในป่าชุมชน และการอาบน้ำช้าง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง  ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกเพศ ทุกวัย สามารถเข้าไปสัมผัสประสบการณ์นี้ได้ รายได้ทั้งหมดส่วนใหญ่จะหมดไปกับการหาอาหารให้กับช้าง โดยช้าง 1 เชือกกินอาหารประมาณ 300 กิโลกรัม หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว



“สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้คือเริ่มมีช้างเร่ร่อนออกมาขายของ ซึ่งเรื่องนี้ต้องวอนเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่าไม่มีใครต้องการให้ช้างออกมาขายของ จึงขอความเมตตากับช้างและคนเลี้ยงเหล่านั้นด้วย วอนภาครัฐเข้ามาช่วยสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทยด้วย” ผู้จัดการปางช้างแม่ริม Elephant Home กล่าวทิ้งท้าย

เวลานี้เราจึงเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ร่วมเดินทางกันมา ต่างช่วยกันบริจาคจนแทบจะเต็มกล่องรับ ดีใจแทนค่ะ

... หนาวนี้หากใครขึ้นเชียงใหม่ บีทริปนิวส์ อยากให้แวะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ต่อลมหายใจปางช้างเล็ก ๆ ที่ดูแลช้างด้วยหัวใจรักแห่งนี้กัน สอบถามรายละเอียดได้ที่คุณปานทอง โทร 081 4088894



..................................

ขอขอบคุณ 

คุณนิรุธ ศรีพวาทกุล ผู้อำนวยการสายพัฒนาคุณค่าธุรกิจและเพิ่มพูนการเรียนรู้ เครือ รพ.พญาไท - เครือ รพ.เปาโล

คุณวนิดา  เศรษฐเศวต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารการตลาดองค์กร เครือ รพ.พญาไท - เครือ รพ.เปาโล

คุณสุปวีย์ ตันสกุล ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์อาวุโสเครือรพ.พญาไท - เครือเปาโล