MEDIA FAM TRIP @ Surin – Buriram by kokok
เมื่อปลายเดือนมกราคมผ่านมา สำนักข่าว BTripnews มีโอกาสได้ร่วมบันทึกการเดินทางและสัมผัสกับวิถีชาวเมืองบุรีรัมย์และสุรินทร์โดย ผอ.บุณยานุช วรรณยิ่ง ททท.สำนักงานสุรินทร์ และการร่วมงาน “การแสดงแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมนานาชาติ 15 ประเทศ” โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ บันทึกการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ประทับใจและอยากจะบอกต่อกัน ซึ่งคุณๆ ผู้อ่านสามารถแพลนเส้นทางท่องเที่ยวจากบุรีรัมย์สู่สุรินทร์ได้ง่ายๆ ตามมาเลยละกันค่ะ ....จากกำหนดการเดินทาง คณะของเราเริ่มต้นกันในช่วงเช้าตรู่ของวัน รถตู้ล้อหมุนผ่านไปหลายชั่วโมง ก็มาถึงเมืองนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ กองทัพเดินด้วยท้อง ที่นี่มีอาหารขึ้นชื่อ ขาหมูนางรอง ไม่เคยแวะมาก่อน แต่ดูจากจำนวนลูกค้าที่เข้ามาแล้ว เพียบ ที่นี่เสริฟขาหมูไซส์ใหญ่กับหมั่นโถวหน้าตาน่าทาน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากวัดขุนก้อง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่จะได้ไปแวะสักการะกันเป็นสถานที่แรกของทริป วัดขุนก้อง![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
ไม่กี่นาที ก็มาถึงวัดขุนก้อง วัดโบราณตั้งแต่สมัยครั้งกรุงศรีอยุธยา สภาพที่ค่อนข้างทรุดโทรมจากภายนอก และด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่หลายองค์ แต่ยังคงมีปูนปั้นหุ่นทหารยืนเฝ้ายามด้านหน้าประตูที่ยังคงอยู่ให้เห็น ณ ปัจจุบัน ผอ.บุณยานุช วรรณยิ่ง ททท.สำนักงานสุรินทร์ เล่าให้ฟังถึง วัดขุนก้อง ว่า “สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเนศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยา โดยขุนก้องนายทหารผู้ควบคุมกองเสบียง ที่ตามเสด็จสองกษัตริย์เมื่อครั้งยกทัพไปปราบเขมร พระอุโบสถหลังนี้แต่เดิมมีอุโบสถอยู่ด้านตะวันออก ปัจจุบันกลายสภาพเป็นเพียงสระน้ำในวัด และเชื่อว่าเป็นกองบัญชาการฝ่ายเสบียงของกองทัพในช่วงศึกสงคราม ซึ่งเชื่อว่าสร้างใกล้เคียงกับวัดป่าเรไร หรือประมาณปีพุทธศักราช 2210”
![]()
หมู่บ้านเจริญสุข ภูมิปัญญาท้องถิ่น กับ ผ้าภูอัคนี ถัดไปเป็นการเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้การทำผ้าภูอัคนี ที่มีการย้อมผ้าจากดินภูเขาไฟ จนเลื่องชื่อ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเจริญสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ บุรีรัมย์ ใกล้กับ เขาพระอังคาร ซึ่งเป็นภูเขาไฟเก่าแก่ที่ดับแล้ว 1 ใน 6 ลูกของจังหวัด วันนี้ คุณสำรวย ศรีมะเรือง ประธานวิสาหกิจชุมชนทอผ้าฝ้ายหมู่ 12 พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และชาวชุมชน ต่างมารอต้อนรับคณะด้วยอัธยาศัยไมตรียิ่ง
![]()
คุณสำรวย เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นว่า “เมื่อปี 2551 ช่วงที่มีโอกาสได้ทำหน้าที่เป็นรองนายกอบต.ได้มีโอกาสขึ้นป่าเขา เพื่อไปสำรวจพื้นที่ เพื่อทำฝายชะลอน้ำโครงการพระราชดำริ จนไปพบเขาลูกหนึ่งที่ดินเป็นสีแดง เดิมรุ่นปู่ย่าตายาย บอกว่าขึ้นไปเก็บของป่าเขาดินแดง ของจะเยอะ ผักหวาน เห็ดจะเยอะ เรารับรู้มาแต่ไม่เคยสนใจ จนครั้งหนึ่งได้ไปรู้ไปเห็นมีคนเอาหินลูกรังมาตำมาย้อมผ้าได้ เป็นการจุดประกายว่า ทรัพยากรธรรมชาติในป่าของเรามีเยอะ จึงทำการทดลอง จากที่ทำฝายชะลอน้ำไปด้วย ก็นำดินมาทดลองกันสามถึงสี่ปีจึงประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นก็นำไปเผยแพร่ เมื่อเริ่มติดหู ท่านนายอำเภอก็สอบถามเรื่องราวความเป็นมาว่า ผ้าภูเขาไฟเรื่องราวเป็นอย่างไร ก็นำเรื่องเล่าท่านก็ตั้งชื่อให้ เมืองพนมรุ้ง ทุ่งฝ้ายคำ นามพระราชทาน ตำนานทับหลัง ที่ตั้งปราสาททอง ของดีผ้าภูอัคนี
![]()
คุณสำรวย เล่าต่อว่า “ความพิเศษของผ้าภูอัคนี ใช้สีจากธรรมชาติ ไม่ได้ใช้เคมี สีที่เป็นเอกลักษณ์และความนุ่มของผ้า และการสื่อต่อคือวัดเขาพระอังคาร ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นมีความเก่าแก่ เป็นความเชื่อที่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นที่ผ้า เรามั่นใจว่าสิ่งนั้นเป็นมงคล คือสิ่งที่เราต่อยอดจากภูมิปัญญา ผ้าภูอัคนีเป็นการสื่อระหว่างการใช้ดินภูเขาไฟมามัดย้อมผ้า สีหลักคือสีโทนอิฐหรือน้ำตาล ความเข้มอ่อนแก่ อยู่ที่เปลือกไม้ด้วย แต่องค์ประกอบหลักคือดิน ซึ่งผู้ทำอาศัยการสังเกต เข้มหรือไม่ และการเป็นธรรมชาติ เวลาซักสีจะไม่ตก ได้รับใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน และได้รับรางวัลผ้าสิ่งแวดล้อมดีเด่น
![]()
![]()
![]()
ปัจจุบัน ทางชุมชนได้จัดให้มีการท่องเที่ยวชุมชน โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2560 เป็นการรวมตัวกันของสามหมู่บ้านที่เกี่ยวเนื่องผูกพันกัน ทั้ง 60 กว่าครัวเรือน ทั้งชาวบ้านรวมทั้งคุณอินทนนท์ ปาลกะวงศ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 และ คุณนึก พวงคราม ผช.ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ประธานป่าชุมชน ต่างช่วยกันดูแลทั้งระบบ เป็น OTOP การท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวโดยชุมชนและป่าชุมชน การย้อมผ้าภูอัคนี เป็นการใช้สีของดินภูเขาไฟและหินบะซอลต์ ประกอบด้วยเปลือกไม้ต่างๆ เช่นเปลือกสะเดา ประดู่และหลายๆใบไม้ เปลือกมังคุด ดอกดาวเรือง ล้วนแล้วแต่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในชุมชนเพื่อส่งเสริมอาชีพในชุมชน ส่งเสริมรายได้และส่งเสริมการท่องเที่ยว
![]()
![]()
![]()
นายนึก ภูอังคาร ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 ประธานป่าชุมชน เล่าเสริมว่า “จากการท่องเที่ยวมีอาหารเมนูประจำถิ่น อาหารจากป่าเขาพระอังคาร เช่นแกงเห็ดป่า ห่อหมก ปลีกล้วย ส้มตำไข่เค็มลาวา มีสินค้าชุมชนนอกจากผ้าที่ย้อมจากสีธรรมชาติแล้ว ยังมีข้าวสายพันธ์หอมมะลิ 105 ผลไม้เช่น ลำไย ฝรั่ง มีการเลี้ยงนกกะทาไข่และการรวมกลุ่มปลูกแบบสินค้าอินทรีย์ ซึ่งททท.ได้สนับสนุนเรื่องการตลาดเป็นอย่างดี แนะนำส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชนอย่างครบวงจร นอกจากนี้ยังมีโฮมสเตย์ทั้งสามหมู่บ้านรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชุมชนอย่างแท้จริง”
เรียกว่า หากนักท่องเที่ยวอยากจะเดินทางมาสัมผัสกับวิถีชุมชน ภูมิปัญญาพื้นถิ่นที่มากค่า สามารถเข้ามาที่ศูนย์เรียนรู้ของชุมชนแห่งนี้ได้ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่แนะนำและแพลนเส้นทางการท่องเที่ยวต่างๆ อย่างเป็นกันเอง หากนักเรียน นักศึกษาเข้ามาดูงานฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นนอนโฮมสเตย์คิดหัวละ 100 บาทค่าอาหาร 70 บาท แต่ถ้าเป็นกรุ๊ปทัวร์มีงบประมาณ ทางกลุ่มคิดค่าสถานที่ 500 บาท ค่าสาธิตผ้าภูอัคนี 1,500 บาท ค่าอาหารเที่ยง 120 บาทต่อหัว หรือ 170 บาทแล้วแต่เมนู กลุ่มทอผ้าฝ้ายผ้าไหม หมู่บ้านเจริญสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ โทร.08-9526-6071 วัดเขาอังคาร
![]()
เพียงหนึ่งกิโล ขับขึ้นมาบนเขาผ่านเหมืองแร่ไม่ไกลนัก เราจะพบกับแหล่งวัตถุดิบของผ้าภูอัคนี ซึ่งเป็นภูเขาไฟอังคารหรือเขาอังคาร เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว บริเวณยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดเขาอังคาร เคยมีการค้นพบโบราณสถานเก่าแก่และใบเสมาหินสมัยทวาราวดีหลายชิ้น มีความโดดเด่นจากการประยุกต์สถาปัตยกรรมหลายสมัยไว้ร่วมกัน ภายในวัดมีโบสถ์ 3 ยอด ที่รายล้อมด้วยพระพุทธรูป 109 องค์ มีใบเสมาพันปีและพระไสยาสน์กลางแจ้งขนาดใหญ่ ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธชาดกเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งได้รับการบอกเล่าว่ามาจากช่างชาวพม่าเป็นผู้เขียนเอาไว้
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
การแสดงแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ 15 ประเทศ หลังจากเหล่าช่างภาพสื่อมวลชน ไปป่วนหมู่บ้านเจริญสุขเรียบร้อย ก็เดินทางกันต่อไปยังจังหวัดสุรินทร์ โดยแวะทานอาหารเย็นกันที่ ร้านอาหาร กรีน เทอเรซ ที่นี่แบ่งโซนเป็นบรรยากาศแบบห้องแอร์และแบบโอเพ่นแอร์ให้เลือกกันได้ตามใจชอบ อาหารรสชาตดีทีเดียว
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
และแล้ว ค่ำคืนแรกของสุรินทร์ ก็มาอยู่กันที่งานแสดงแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ 15 ประเทศ โดยค่ำคืนแรก จัดขึ้นณ สวนใหม่เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา เป็นการแสดงโชว์ของแต่ละประเทศ ส่วนในคืนที่สอง จัดที่ มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ เป็นการแสดงแฟชั่นโชว์ของ เหล่าเซเลปของเมืองและตัวแทนจากนานาชาติ
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง
รุ่งเช้า วันที่สองของเมืองสุรินทร์.... สถานที่แรกคือเข้าไปชมวิถีคนเลี้ยงช้าง และสุสานช้างแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง นับว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นพิธีเซ่นเชือกปะกำของเหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ชาวกูย
![]()
ตามประวัติเล่าว่า “ศูนย์คชศึกษาหรือหมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง ด้วยพื้นที่เป็นที่นาและป่าละเมาะสลับกับป่าโปร่งเหมาะกับการเลี้ยงช้าง ชาวบ้านดั้งเดิมเป็นชาวส่วย หรือ กูย หรือกวย มีความชำนาญในการคล้องช้างป่า ฝึกหัดช้างและเลี้ยงช้าง ในอดีตส่วนมากจะเดินทางไปคล้องช้างบริเวณชายแดนเขตกัมพูชา แต่ด้วยสภาวะการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถไปคล้องช้างบริเวณชายแดนได้เหมือนเดิม แต่ก็ยังคงเลี้ยงช้างและฝึกช้างเพื่อการแสดงอยู่”
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์วัดป่าอาเจียง เล่าให้ฟังว่า “ชาวบ้านตากลางเลี้ยงช้างเหมือนคนในครอบครัว มีความผูกพันกันมาก”
![]()
![]()
![]()
![]()
ดังจะเห็นได้จากสุสานช้าง สำนักสงฆ์วัดป่าอาเจียง ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านมาเพียง 1 กิโลเมตร เป็นสถานที่ซึ่งพบเพียงแห่งเดียวในโลกที่เป็นการจารึกความรักความผูกพันระหว่างคนกับช้างตราบลมหายใจสุดท้าย
ปัจจุบันเราจะเห็นการก่อสร้าง อาคารช้างเอราวัณขนาดใหญ่เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ช้างซึ่งยังอยูในระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะเสร็จในราวปี 2565 ด้วยเพราะงบประมาณได้จากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ซึ่ง การปั้นเศียรช้างมาจากฝีมือเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันนั่นเอง
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณบ้านท่าสว่าง ณ หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณบ้านท่าสว่าง (จันทร์โสมา) เมื่อล้อหมุนเข้าใกล้ด้านหน้าบริเวณบ้าน จะพบร้านรวงต่างๆ จำหน่ายผ้าไหม ในหลากหลายรูปแบบหลายสีสัน ก่อนจะเห็นป้ายจันทร์โสมา ด้านหน้าประตูไม้ขนาดใหญ่ พร้อมป้ายบ่งบอก ครูศิลป์ของแผ่นดินปี 2554 วีระธรรม ตระกูลเงินไทย จาก SACICT หรือศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 179 ซอยเรือนไทย บ้านท่าสว่าง
![]()
![]()
![]()
เมื่อประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออก เผยให้เห็นบรรยากาศที่ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธ์ ตลอดทางเดินเข้าสู่บ้านเรือนไทยหลังใหญ่ เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการยกย่องว่า “ทอผ้าไหมหนึ่งพันสี่ร้อยสิบหกตะกอ” เมื่อครั้งทอผ้ายกทองทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (ในรัชกาลที่ 9 ) จากการริเริ่มผลงานศิลปหัตถกรรมของกลุ่มทอผ้าไหมยกทอง “จันทร์โสมา”
![]()
![]()
![]()
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้ายกทองชั้นสูงแบบราชสำนักไทยโบราณ โดยอาจารย์วีระธรรม เป็นแกนนำและรวมชาวบ้านมารวมกลุ่มทอ ด้วยการออกแบบลวดลายที่สลับซับซ้อน งดงาม ผสมสานกันระหว่างลวดายการทอแบบราชสำนักกับเทคนิคการทอผ้าแบบ จนกลายเป็นผ้าทอที่มีความงดงามอย่างมหัศจรรย์และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเมื่อได้เห็น ชาวบ้านที่นั่งถักทอไหมกันอย่างขะมักเขม้น ในแต่ละจุดต้องใช้คนถึง 4-5 คน โดยทำงานประสานกันระหว่างคนทอด้านบนและด้านล่าง ถือว่าสุดอะเมซิ่งจริงๆ นับเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับการทอผ้าที่สุดอลังการนี้มาก ทำได้ไงหนอ ... เราได้แต่แอบคิด
![]()
![]()
![]()
คุณวรรณา โสฬส ผู้ช่วยอาจารย์วีระธรรม เล่าให้ฟังถึงงานทอผ้าไหมยกทองโบราณที่ล้ำค่าแห่งนี้ว่า “ที่นี่ใช้เทคนิคการถักทอผ้ายกทองแบบโบราณ จะใช้ผู้ช่วยตะกอลายหลายคน เนื่องจากลายที่สลับซับซ้อนไม่สามารถทอด้วยคนเดียวได้ และเมื่อถามถึงลวดลายที่วิจิตรด้านหน้า คุณวรรณา เล่าว่า “ ลวดลายนี้ออกแบบโดยอาจารย์วีระธรรม เป็นเจ้าของที่นี่และเป็นผู้ออกแบบลวดลายต่างๆ ซึ่งจบศิลปะประจำชาติ เพาะช่าง เป็นช่างเขียนมาทำตรงนี้เพราะความชอบส่วนตัว ในเรื่องของการทอผ้า โดยศึกษาเทคนิคการทอผ้า และศึกษาลวดลายผ้าจากการที่สะสม ผ้าแต่ละผืนใช้เวลาราว 2-3 เดือน ทุกผืนจะทำตามออเดอร์เท่านั้น ราคาต่ำสุดจะอยู่ที่ 55,000 บาท จนถึง 300,000 บาทขึ้นไป แต่ละผืนจะขึ้นอยู่กับความละเอียดของลวดลาย การทำงานตรงนี้ทำเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งแม้กระทั่งการวางโทนสี
![]()
![]()
คุณศิวฤทธิ์ ศรีบุญเรือง รองผอ.สำนักงานททท.สุรินทร์ เล่าว่า “ความโดดเด่นของผ้าไหมยกทองจันทร์โสมา คือ การเลือกเส้นไหมที่เล็กและบางเบา นำมาผ่านกรรมวิธีฟอก ต้ม แล้วย้อมสีธรรมชาติด้วยแม่สีหลักสามสี ได้แก่ สีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแลและสีครามจากเมล็ดคราม สอดแทรกการยกดอกด้วยไหมทองที่นำมารีดเป็นเส้นเล็กๆ ปั่นควบกับเส้นด้าย ใช้ตะกอเส้นพุ่งพิเศษที่ทำให้เกิดลายจำนวนตะกอ 1,416 ตะกอ ซึ่งกี่ธรรมดาที่วางไว้บนพื้นดินมีความสูงไม่พอ จึงต้องขุดดินบริเวณนั้นเป็นหลุมลึกลงไป 2-3 เมตร เพื่อรองรับความยาวของตะกอที่ห้อยลงมาจากกี่ให้เป็นระเบียบ และให้คนสามารถยืนอยู่ในหลุมเพื่อสอดตะกอไม้ได้ เนื่องจากไม้ตะกอจำนวนมากจึงต้องใช้คนทอ 4-5 คน คือ จะมีคนช่วยยกตะกอ 2-3 คน คนสอดไม้ 1 คน และคนทออีก 1 คน ด้วยความซับซ้อนทางด้านเทคนิคการทอนี้จึงทำให้ได้ผลงานผ้าออกมาเพียงวันละ 4-5 เซนติเมตรต่อวันเท่านั้น”
![]()
![]()
ปัจจุบัน มีเจ้าหน้าที่อยู่ราว 20 คน มี 5 กี่ ด้วยแพทเทิร์นที่ถูกออกแบบเดียวกับผ้าโบราณ และเริ่มดำเนินงานมา 20 ปี แล้ว แต่เป็นการทำกันเองเล็กๆ จนกระทั่ง ได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาลให้ทอผ้าสำหรับตัดเสื้อของผู้นำประเทศและผ้าคลุมไหล่สำหรับคู่สมรสผู้นำประเทศ 21 เขตเศรษฐกิจ ที่มาร่วมประชุมผู้นำเอเปก เมื่อปีพ.ศ. 2556 จนเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในชื่อ หมู่บ้านทอผ้าเอเปก ได้รับรางวัลโอทอป ระดับ 5 ดาวของประเทศ ที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งรวมบุคลากรอันล้ำค่าของประเทศแห่งหนึ่งทีเดียว หากใครยังไม่เคยได้เห็นความอะเมซิ่งของเทคนิคการทอผ้าไหมยกทองโบราณ แนะนำว่าต้องมา ออกจากตัวเมืองประมาณ 8 กิโลเมตร ไม่ถึงยี่สิบนาที ก็ถึงแล้ว เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8.00-17.00 น. โทร 084 4586099 คุณนิรันดร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์ ที่ที่ควรจะเข้ามาเยี่ยมชมอย่างยิ่งอีกแห่งหนึ่งคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์ เปิดปี 2552 ตั้งอยู่เลขที่ 214 หมู่ที่ 3 ถนนสุรินทร์ - ปราสาท อำเภอเมือง จากการก่อสร้างสถาปัตยกรรมภายนอก ได้แรงบันดาลใจมาจากปราสาทขอม โดยมีทางเชื่อมเป็นสะพานนาค เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ รอบๆ จะเป็นระเบียงคล้ายโบราณสถานขอม
![]()
![]()
ส่วนจัดแสดงมี 5 ห้อง ธรรมชาติวิทยา ประวัติศาสตร์โบราณคดี ประวัติศาสตร์เมือง ชาติพันธุ์วิทยา และมรดกดีเด่น เราเดินตามเจ้าหน้าที่เข้ามาในส่วนห้องจัดแสดงแรก ห้องธรรมชาติวิทยาที่บอกเล่าภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมแผนผังของสุรินทร์ “มีแสดงวัตถุ 3 ชนิดที่ใช้สร้างปราสาทขอม ได้แก่ อิฐโบราณ หินทรายใช้แกะสลัก ศิลาแลงใช้ปูฐาน ซึ่งหาได้ทั่วไปในแถบอีสานและกัมพูชา เมื่อมาถึงสุรินทร์ ต้องพูดถึงเรื่องข้าวหอมมะลิ มีตัวอย่างจัดแสดงข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียงคือพันธ์ 105 ชื่อเต็มคือ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 จะมีลักษณะคือขาวเหมือนดอกมะลิ หอมเหมือนใบเตยและ 105 เป็นลำดับแถวในแปลงทดลองปลูกเจริญงอกงามดีในจังหวัดสุรินทร์ สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารและขนมพื้นเมืองตามภาษาท้องถิ่นเป็นภาษาเขมร เช่นขนมดอกบัว ภาษาเขมร ขนมพื้นบ้านที่ทำมาจากข้าว
![]()
ห้องที่ 2 ห้องประวัติศาสตร์โบราณคดี แบ่งเป็นสองโซน โซนสมัยก่อนประวัติศาสตร์และโซนศิลปะเขมร ไฮไลท์ห้องนี้โซนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือหลุมฝังศพของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ พบเฉพาะพื้นที่บริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ การฝังศพมีสองระยะ จะนำศพไปฝังทั้งร่างให้เนื้อเยื่อเปื่อยสลายแล้วขุดศพขึ้นมาเลือกเฉพาะชิ้นส่วนที่สำคัญของร่างกายมาไว้ในเครื่องปั้นดินเผา เช่นกะโหลก มีสิ่งของอุทิศอยู่ด้านในด้วย เป็นการฝังครั้งที่สองและที่เป็นเอกลักษณ์คือการฝังศพภายในภาชนะขนาดใหญ่คล้ายๆแคปซูล พบเฉพาะทางทุ่งกุลาร้องไห้เท่านั้น
![]()
เป็นการนำหม้อสองใบประกบกัน โดยก้นประกบปาก หม้อใบเล็กเป็นฝังศพทารก ยุคก่อนประวัติศาสตร์สักสามถึงสี่พันปี จะไม่ได้ฝังโดยบรรจุอะไรเลย จะเห็นโครงการกระดูก
ด้านซ้ายมือเป็นโครงกระดูกของจริง ได้มาจากปราสาทแห่งหนึ่ง ชั้นบนเป็นศิลปะสมัยขอมอายุประมาณ 900 ปีมาแล้ว ชั้นล่างลึกลงไปสองเมตร ขุดพบโครงกระดูกคนสมัยก่อนประวัติอายุราว 2,000 กว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียน ขวามือจะยุคใหม่ขึ้นมาก่อนเข้าสู่ประวัติศาสตร์ประเทศไทย เป็นยุคทวาราวดีอีสานเรียกว่าใบเสมา สัญลักษณ์ของการเข้ามาของศาสนาพุทธ
![]()
ถัดเข้ามาเป็นห้องสมัยศิลปวัฒนธรรมขอมหรือลพบุรี ส่วนในห้องนี้จัดแสดงชิ้นส่วนของที่ได้มาจากโบราณสถานขอมที่มีอายุในยุคเก่าแก่ ปราสาทภูมิโปน สมัยพุทธศตวรรษ ที่ 12 มีจารึกตัวอักษรปัลลวะที่มีต้นแบบจากประเทศอินเดีย ทับหลัง เป็นรูปแบบศิลปะสมัยไพร กะเม็ง พุทธศตวรรษที่12- 13 มีเพียงชิ้นเดียวเป็นทับหลังที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย
![]()
ทับหลังของพระนารายณ์ทรงครุฑ แต่ประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน น่าจะได้จากการจับกุมผู้ลักลอบมาและนายอำเภอนำมามอบให้ที่นี่ หลายชิ้นที่เราได้มาจากการจับกุม
และการจำลองซุ้มประตูทางเข้าของปราสาทศีขรภูมิ เอกลักษณ์ของสุรินทร์ ซึ่งเต็มไปด้วยเทพในศาสนาฮินดู การร่ายรำของพระศิวะ การร่ายรำของพระศิวะแสดงถึงการเปลี่ยนแปงของโลกมนุษย์ด้วย ชิ้นส่วนประติมากรรมเศียรที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร ได้มาจากปราสาทตาพรหม อีกสองชิ้นข้างๆ เรียกว่ากลีบขนุน ใช้ประดับตกแต่งส่วนยอดของปราสาทจะมีรูปสลักของเทพเจ้าประจำทิศเบื้องใต้ แหวน ในตู้นี้มาจากปราสาทตาเมืองธม ในช่วงการบูรณะปราสาทบริวาร เป็นสิ่งของวัตถุมงคลที่ใช้ในการวางศิลาฤกษ์ สำหรับกษัตริย์ผู้สร้าง จะนำทรัพย์สินส่วนตัวมาถวาย ในช่วงของการบูรณะเมื่อยกหินแต่ละก้อนจะพบแผ่นทองหินเสียบอยู่
![]()
ปัจจุบันปราสาทประธานองค์ที่เป็นยอดไม่เหลืออยู่แล้ว ส่วนหลังคาได้หายไปหมดแล้ว ซุ้มประตูด้านหน้าก็จะไม่มีแล้ว ปราสาทตาเมืองพรหม จะหันหน้าไปทางทิศใต้ พิเศษกว่าที่อื่น ของบางส่วนเก็บรักษาอยู่ในการดูแลของทหารไม่สามารถเคลื่อนย้ายใดๆ ได้
ประติมากรรมที่เป็นเอกลักษณของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน พระรัตนตรัยมหายาน เอกลักษณ์ของศิลปะของสมัยนั้นคือ ศิลปะบายน หน้าตาของพระพุทธรูป สงบนิ่ง ใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ สมายล์อังกอร์ มีนักโบราณคดีหลายคนบอกว่า ใบหน้าของพระพุทธรูปในสมัยศิลปะบายนอาจจะได้รับรูปแบบมาจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หน้าจะเหมือนกันหมด ต่างกันเพียงวรกาย ทับหลังมาจากปราสาทศีขรภูมิที่เราไม่สามารถนำไปบูรณะที่นั่นได้ จึงนำมาไว้ที่นี่ ซึ่งหากนำไว้ที่นั่น อาจจะเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมหรือถูกทำลายได้ง่าย
![]()
![]()
![]()
ห้องประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ การจำลอง พระยาสุรินทร์ภักดีฯ เจ้าเมืองคนแรกของสุรินทร์ เชื้อสายชาวกูย ชนชาติที่มีความสามารถในการจับช้างป่าและเลี้ยงช้างใช้งาน จึงเป็นที่มาของการมีความสามารถในการเลี้ยงช้างของคนสุรินทร์ สมัยรัชกาลที่ 1 ให้เปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์เป็นเมืองสุรินทร์ ตามสร้อบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมือง จึงกลายเป็นจังหวัดสุรินทร์ ดังปัจจุบัน
![]()
![]()
![]()
ห้องชาติพันธ์วิทยา กลุ่มคนในจังหวัด มี 3 กลุ่ม การจำลองวิถีชีวิตของชาวกูย หรือ กวย ส่วย พิธีแกลมอ เป็นประเพณีพิธีการรักษาผู้เจ็บป่วย เป็นการรักษาทางด้านจิตใจ มีแม่หมอมาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่น่าจะเป็นสาเหตุของโรคภัย มีการประดิษฐ์ของเล่น หุ่นม้าไม้ เครื่องดนตรีประกอบพิธีกรรมด้วย
![]()
ส่วนบนบ้าน เป็นวิถีชีวิตของชาวเขมร การแต่งงานของชาวเขมร ขั้นตอนพิธีกรรมก็จะมีข้าวของเครื่องใช้และของมงคล ข้าวต้มมัด เครื่องคาวหวาน ในมือถืออุปกรณ์ที่ใช้กินหมาก ครีมหนีบหมากและเต้าปูน มีการโปรยข้าวตอก ข้าวสาร ปัจจุบันยังมีการแต่งงานในรูปแบบนี้อยู่ พร้อมกับจัดแสดงกลุ่มชน ลาวที่มีความสามารถในการทอผ้าไหมได้งดงาม
![]()
ห้องสุดท้าย มรดกดีเด่น จัดแสดงเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมของสุรินทร์ มีทั้งผ้าไหม การแสดงนาฏศิลป์ และห้องเครื่องเงิน ศิลปะการแสดงพื้นบ้านและวิถีชีวิตของกูยกับช้าง ที่นี่เปิดให้ชมฟรี เปิดพุธ ถึงอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00- 16.00 น. โทร 04415 3054 ปิดวันจันทร์ อังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ส่วนค่ำคืนนี้ เราก็ได้มีโอกาสร่วมงาน การแสดงแฟชั่นโชว์นานาชาติ ทั้งจากเหล่าเซเลบของจังหวัดและจากประเทศต่างๆ กว่า 15 ประเทศ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ ก่อนกลับที่พัก
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
ชุมชนบ้านสวาย เช้าตรู่วันสุดท้ายของทริป รองผอ.ททท.สำนักงานสุรินทร์ พาเราไปเยี่ยมเยียนศูนย์แสดงสินค้าชุมชนหรือ OTOP ก่อนจะเดินทางกันต่อไปยังชุมชนตำบลสวาย
![]()
![]()
![]()
ใครจะหาซื้อของฝากสามารถแวะเข้ามาที่นี่ได้ มีของที่ระลึกทุกอย่าง ทั้งเครื่องนุ่งห่ม ของตกแต่งบ้าน หลังจากร่ำลากัน เราก็เดินทางกันต่อเพื่อไปยัง ชุมชนตำบลสวาย
คุณทวีป บุญวร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสวาย ได้แนะนำชุมชนแห่งนี้ว่า “เป็นชุมชนโบราณตั้งแต่สมัยตั้งเมืองสุรินทร์ ซึ่งเป็นเมืองโบราณสมัยขอมเรืองอำนาจ คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา เมื่อหมดฤดูทำนา มักใช้เวลาที่เหลือทอผ้าไหม เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตผ้าไหมที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของสุรินทร์ จุดเด่นของผ้าไหมอยู่ที่กรรมวิธีการทอที่สลับซับซ้อนมีความยาก ต้องใช้ความสามารถและอาศัยความชำนาญ โดยเฉพาะการทอผ้ามัดหมี่พร้อมยกดอกไปในตัว นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการท่องเที่ยวชุมชน และเกษตรอินทรีย์ไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวนอกเหนือจากการเยี่ยมชมกระบวนการทอผ้าไหมที่สวยงามของชุมชน “ขณะนี้ทุกหน่วยงานเริ่มเข้ามาที่ชุมชนบ้านสวาย เราได้รับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เป็นแหล่งไหมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ละครเรื่องนาคี ใช้ผ้าไหมของที่นี่ด้วยเช่นกัน” ตำบลสวายมีลายมากที่สุดคือลายผ้าไหม จึงมาจุดประกายงานนี้เพื่อเป็นแหล่งซื้อหาเรียนรู้ เพราะเรามีต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ นักท่องเที่ยวที่อยากมาเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้ทุกวัน จากการที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพบว่า วิถีชุมชนคือแหล่งท่องเที่ยวหลักที่นักท่องเที่ยวสนใจ มีจุดศูนย์รวมแต่ละหมู่บ้านที่ผลิตผ้าไหมได้ 1700 กว่าครัวเรือน จึงสนับสนุนให้พี่น้องมีรายได้เพิ่ม การรวมกลุ่มแต่ละครั้งแต่เดิมยากมาก เพราะพี่น้องยังไม่เข้าใจ แต่ปัจจุบันรวมกลุ่มกันได้แล้ว” ติดต่อสอบถามการท่องเที่ยวชุมชน ได้ที่อบต. บ้านสวาย โทร 044 454 6595 พระพุทธรูปดินปั้นพันปี
แต่ก่อนจะไปพบกับกลุ่มทอผ้าไหม คุณทวีปได้นำเราไปสักการะ พระพุทธรูปดินปั้น อายุนับพันปี วัดตาตอมจอมสวายเพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อน คุณกิ่งแก้ว บุญสุข ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลสวาย เล่าให้ฟังถึงความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระดินปั้นของวัด มีธาตุดินมาแต่ดั้งเดิม มีความสมบูรณ์ที่สุดของจังหวัดสุรินทร์ ตำนานเล่าขานเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่ได้เป็นคนดีหรือทำความดีจะอยู่ในเขตตรงนี้ไม่ได้ ผู้สร้างตามตำนานเล่าต่อกันมาว่า มีภรรยาผู้หนึ่งประพฤติผิดต่อสามี จึงสร้างพระขึ้นเพื่อไถ่บาป อายุนับพันปีมาแล้ว ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์เรื่องความดีและการงาน และจะมีการทำบุญในทุกๆ ปี ชาวบ้านจะมาจากทุกสารทิศ แม้แต่พระจะมาจากเขมรและศรีลังกามาด้วย
![]()
กลุ่มหัตถกรรมสตรีทอผ้าไหมบ้านสวาย
![]()
![]()
![]()
ถัดมา เป็นการเยี่ยมชมกลุ่มหัตถกรรมสตรีทอผ้าไหมบ้านสวาย ที่นี่เราพบกับ ป้าสำเนียง บุญโสดากร เดิมมีอาชีพทำนาสลับกับการทอผ้าไหมเมื่อครั้งบรรพบุรุษ ปัจจุบัน การทอผ้าได้รับการยอมรับจนสามารถสร้ายรายได้เลี้ยงชีพจนหันมาทอผ้าเพียงอย่างเดียว ป้าสำเนียง บอกว่า “ที่นี่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติในการย้อมสี ส่วนลายที่ได้รับความนิยม เป็นลายพญานาค และเป็นลายที่ บัวขาว นักชกชื่อดังเข้ามาช่วยประชาสัมพันธ์ให้ โดยททท.”
![]()
![]()
ศูนย์เรียนรู้ไหมย้อมสีธรรมชาติ โดยครูทอผ้าแม่สำเนียง โทร 044 546 656 ใกล้กันเป็น กลุ่มทอผ้า อุตตมะ ไหมไทย ซึ่งได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน หากจะเข้าไปเยี่ยมชม สามารถติดต่อไปได้ที่ โทร 084 959 9749
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
วนอุทยานพนมสวาย
เราจบทริปกันด้วย วนอุทยานพนมสวาย ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลนาบัว เขตป่าสงวนแห่งชาติ ลักษณะเป็นยอดเขา 3 ลูก มี พนมเปร๊าะ เป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธสุรินทรมงคลหรือ พระใหญ่” ปางประทานพร ขนาดหน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 21.50 เมตร พระเนตรขาวประดับด้วยเปลือกหอยมุก พระเนตรดำทำด้วยโลหะทองเหลืองผสมทองแดงหล่อรมดำ ประทับนั่งขัดสมาธิ เป็นจุดชมทิวทัศน์มุมสูงของวนอุทยานพนมสวายด้วย พนมสรัย ที่ตั้งของวัดพนมศิลาราม และมีสระน้ำโบราณอยู่ พนมกรอล พุทธสมาคมจังหวัดสุรินทร์ได้จัดสร้างศาลาอัฏฐะมุข เป็นอนุสรณ์ฉลองครบรอบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองที่ย้ายมาจากยอดเขาพนมเปร๊าะ มาประดิษฐานไว้ในศาลาและบริเวณใกล้เยงกันเป็นที่ตั้งสถูปอัฐิพระราชวุฒาจารย์(หลวงปู่ดุล อตุโล) พระเกจิอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน และมีศาเจ้าแม่กวนอิมให้สักการะ ในอดีตบรรพบุรุษชาวสุรินทร์ ถือว่าเขาพนมสวายเป็นสถานที่แสวงบุญ จะมีการเดินขึ้นยอดเขาในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
...... สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม คำขวัญประจำจังหวัดที่คัดสรรมา ... ดูเหมาะสมยิ่งนัก การได้มาสัมผัสกับวิถีชุมชนในครั้งนี้ บ่งบอกถึงความเข้มแข็งของวัฒนธรรมที่ไม่ได้มาจากผู้ใดเลย แต่มาจากชาวชุมชนที่รักษ์และรักในความเป็นอัฒลักษณ์แลรากเหง้าของตนเอง และพร้อมที่จะสืบทอดให้คงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน ....แล้วคุณล่ะ พร้อมหรือยังที่จะมาพิสูจน์ดินแดนมหัศจรรย์ที่ร่ำรวยลมหายใจแห่งศิลปวัฒนธรรมถิ่นนี้