Slow Life กับ สมชาย เจริญอำนวยสุข “วันแรกในฐานะประชาชนเต็มขั้น”

                       3 ตุลาคม 2560 เป็นวันที่ผมเป็นประชาชนเต็มขั้นวันแรก หลังจากรับใช้ราชการมา 37 ปี บางคนบอกว่าวันเกษียณอายุวันแรกจะรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอะไร บางคนขับรถออจากบ้านไปครึ่งค่อนชั่วโมงถึงรู้ว่า ไม่ต้องไปทำงาน วนรถกลับมานั่งซึมที่บ้าน ไม่รู้จะทำอะไร เพราะไม่เคยอยู่บ้านในเช้าวันทำงาน อยู่ไปได้ไม่กี่เดือนก็จะหงอยเหงา เศร้า และเริ่มเฉาจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าไป
                         ผมได้ฟังคนเขาบอก (ที่จริงเป็นการขู่มากกว่า) ผมก็เริ่มเตรียมตัวรับวันเกษียณอายุ เมื่อซักห้าปีที่ผ่านมาด้วยการไปซื้อที่ผืนเล็ก ๆ ไว้ในจังหวัดใกล้ ๆ กทม. ขับรถชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงแล้ว เริ่มปลูกกล้วย ปลูกมะม่วงกะว่าเกษียณอายุแล้วก็จะไปทำสวน จะได้ไม่เหงา ไม่หงอย ก็รวบรวมเงินที่ทำงานมาทั้งหมด บวกกับยืมพี่สาวอีกส่วนหนึ่ง กู้แบงก์อีกส่วน ซื้อที่ได้มา 5 ไร่ ตอนนี้ก็สามารถเก็บกล้วย เก็บมะม่วง บวกกับมะนาวที่ปลูกเสริมเข้าไปขายได้บ้างแล้ว ก็คือว่าโอเค เอาเวลาวันหยุดไปสิงที่สวน มีความสุขไปอีกแบบ แม้ผลผลิตจะขายได้ไม่คุ้มกับราคาที่ดิน บวกน้ำมันรถที่ลง แต่ความสุขทางใจนับว่าได้เกินคุ้มทีเดียว และก็ไม่เห็นสับสนหรือซึมเศร้าดังที่เขาขู่มา
                         วันแรกที่ผมเกษียณ คนอื่น ๆ คงตื่นสาย ๆ แล้วก็นั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือ ทำเท่ห์อยู่หน้าบ้าน แต่ผมเปล่า เพราะภรรยายังทำงาน ต้องดื่นพร้อม ๆ กับเขา ราว ๆ ตีห้า อาบน้ำ อาบท่าแล้วก็ขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต เค้าก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานต่อแถวสุขุมวิท บางคนอาจสงสัยทำไมไม่ไปส่งเขาที่ออฟฟิศเลย จะได้ไม่ต้องขึ้นรถไฟฟ้าไป ก็สุขุมวิทน่ะเข้ายาก ออกก็ยิ่งยาก รถมันติด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ภรรยาผมกับผมก็เลยเห็นตรงกันว่า เพื่อสุขภาพจิตของทั้งคู่ ส่งที่สถานีรถไฟฟ้าแล้วเค้าขึ้นรถไฟฟ้าไปน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ก็เลยใช้วิธีดังที่ได้บอกมาตอนต้น คือ ส่งแค่สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต
                         หลังจากส่งภรรยาแล้วผมก็ว่างสิครับ จะกลับบ้านเลยก็คงจะไม่มีอะไรทำ ลูกก็ไม่มี ผมก็เลยขับรถเล่นไปทางสถานีหมอชิตที่เป็นสถานีรถ บขส. ผ่านสวนสิริกิติ์ ซึ่งชื่อเดิม ๆ ว่า สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ก็เลยวกรถเข้าไปกะว่าจะไปเดินเล่น เพราะต้นไม้เยอะดี เข้าไปจอดรถแล้วก็เดินไปเรื่อย ๆ พบผู้คนมาเดินกันหลายคน แต่ก็ไม่ค่อยมากนัก กะว่าสักยี่สิบคน สวนกว้างมาก ต้นไม้ก็เยอะมีทั้งไม้ใบต้นใหญ่ๆ และไม้ดอก จัดอย่างเป็นระเบียบ มีนกมากมาย มีเป็ด มีห่าน เดินส่งเสียงลั่นสวน แต่ก็ไม่น่ารำคาญเลย ต้นไม้ทุกต้นได้รับการดูแลเชียว สูงใหญ่ ใบมันวาว บรรยากาศร่มรื่นมากจริง ๆ การจัดการดีมาก ผมยังแปลกใจที่มีคนมาใช้ไม่มาก ผมนั้นอยากให้มีสวนสาธารณะอย่างนี้ อยู่ทุกซอกทุกมุมในทุกจังหวัด ประชาชนจะได้มีสุนทรีย์ในการดำรงชีวิต เหมือนกับประเทศที่เขาเจริญๆ อย่างประเทศในยุโรป ต้นไม้ สวนเยอะไปหมด แต่ของเราในเมืองใหญ่ ๆ มีน้อยจนน่าใจหาย คนที่จะสร้างสวนสาธารณะก็คงคิดว่าสร้างซะดีอย่างสวนสมเด็จฯ ที่จตุจักร ยังมีคนมาใช้น้อยเลย แล้วถ้าไปสร้างมาก ๆ ไม่ยิ่งเสียของเข้าไปใหญ่หรือ


                         วิธีคิดดังเช่นที่กล่าวมา น่าจะไม่ค่อยถูกนัก เพราะเราจะรู้อย่างไรว่าสร้างแล้วคนจะไม่มาใช้ คนเราชอบคิดแทนคนอื่น จนลืมหน้าที่ว่าตนมีหน้าที่อะไร ถ้ามีหน้าที่สร้างสวนสาธารณะก็ต้องสร้าง ต้องบริหารให้ดี ให้มีคนมาใช้ แม้ไม่มีคนมาใช้ก็ให้สวนสาธารณะทำหน้าที่เป็นปอดของคนในเมือง ให้ดูดซับอากาศเป็นพิษที่ดูจะมีมากขึ้นทุกวันให้มันหมดไป ไม่ใช่หาข้ออ้างที่จะไม่สร้างอยู่ร่ำไป ผมในฐานะประชาชนขอเรียกร้องให้สร้างเยอะๆ ถ้าไม่มีที่สร้างก็ให้ปลูกต้นไม้ให้มาก ๆ เพื่อสร้างความสดชื่นให้คนเมือง คนที่มาเดินออกกำลังในสวนสมเด็จฯ นั้นผมเห็นว่า เป็นคนอายุมากๆ ทั้งนั้น ยี่สิบกว่าคนที่ผมว่านั้นอายุรวมกับผมว่าเป็นพันปี ถ้าจะให้เดาก็คงจะเกษียณจากการทำงานเหมือนผม แล้วก็ห่วงใยสุขภาพตัวเอง หรือไม่ก็ต้องการอากาศดีๆ ไม่อยากอุดอู้อยู่ที่บ้าน หรือบางคนอาจหนีคนที่บ้านมาเดินในสวน ยังไงก็แล้วแต่ผมก็ยังรู้สึกว่าคนน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพื้นที่สวน ซึ่งกว้างขวางมาก และผมก็สังเกตว่า แทบไม่มีคนหนุ่มสาวมาออกกำลังกายเลย มีแต่คนสูงอายุทั้งนั้น เป็นไปได้ว่าทุกคนคงไปทำงานและคนกรุงเทพฯ ทุกคนก็ต้องออกจากบ้านแต่เช้า เพราะจราจรมันสาหัสเหลือเกิน คงไม่มีใครคิดจะออกกำลังก่อนไปทำงานเป็นแน่
                         ผมเดินออกกำลังอยู่สามสี่รอบ คิดว่าระยะทางน่าจะราวๆ ห้ากิโลเมตร เพราะรอบหนึ่งคงไม่น้อยกว่า 1.5 กิโลเมตรโดยประมาณ ก็พอได้เหงื่อจนเสื้อเปียกชุ่ม แล้วก็ขับรถกลับบ้าน ก่อนออกจากสวนก็เสียค่าจอดรถ 40 บาท เพราะอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ไม่ได้อ่านราคาค่าจอดรถ แต่คิดว่าน่าจะชั่วโมงละ 20 บาทประมาณนี้ แต่ที่จอดรถกว้างขวางสะดวกสบายมาก อยากชวนทุกคนมาออกกำลังกายกัน คนเกษียณอย่างผมหรือคนทำงานอยากมาออกกำลังก่อนไปทำงานหรือกลับจากทำงานก่อนเข้าบ้านก็ได้ ถ้าตัวมีเหงื่อมาก รำคาญตัว เขามีห้องให้อาบน้ำสะดวกสบาย เพียงพกเครื่องอาบน้ำส่วนตัวมาเท่านั้น

                        ขากลับบังเอิญอยากกินต้มจับฉ่ายก็เลยขับรถไปตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่ ซื้อผัก ซื้อซี่โครงหมู่กับเต้าหู้แข็งมาต้มจับฉ่ายกิน ซี่โครงหมูแพงมากก็เลยเปลี่ยนใจ ซื้อกระดูกซุปมาแทน เพราะราคาถูกกว่ากันครึ่งหนึ่ง ซื้อเต้าหู้แข็ง 2 ก้อน 18 บาท ตอนเด็กๆ ผมถูกเรียกว่า “ไอ้มนุษย์เต้าหู้” เพราะชอบกินเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนั้นซื้อเต้าหู้แข็งก้อนละ 3 สลึง 2 ก้อน หกสลึง เอามาหักใส่ต้มผักกาดขาวกินก่อนไปโรงเรียน และกลับมากินอีกรอบตอนพักกลางวัน โดยวิ่งจากโรงเรียนมา เอาน้ำต้มผักที่มีเต้าหู้ที่เหลือสองสามชิ้นราดข้าวแล้วกิน ข้าวก็เป็นข้าวเย็นก้นหม้อที่เหลือจากเมื่อเช้า กินเสร็จก็แก้ผ้ากระโดดน้ำคลองหน้าบ้าน เป็นการอาบน้ำ แล้ววิ่งกลับไปเรียน ถึงโรงเรียนก็เรียนช่วงบ่ายพอดีทำเป็นกิจวัตรกันเลย
                         หลังจากซื้อเครื่องเต้าหู้ที่ตลาดสะพานใหม่แล้ว ก็กลับมาจัดการต้ม วิธีการก็ง่าย ๆ ล้างกระดูกหมูให้สะอาดใส่หม้อ ใส่น้ำ ตำรากผักชี 4 – 5 ราก กระเทียมอีก 2 หัว ตามด้วยพริกไทยเม็ดอีกสัก15 เม็ด ใส่ลงไป ใส่แม็กกี้ (ผมมันเป็นคนติดซอสนี้) ใครไม่ชอบไม่ใส่ ใส่ซีอิ๊วขาวให้ได้รสชาติที่ชอบ อย่าใส่น้ำปลานะครับมันจะเหม็นคาว ใส่น้ำสัก 70%ของหม้อต้ม เคี่ยวให้เดือด ต้มไปเรื่อย ๆ ระหว่างต้มน้ำซุปไป ก็จัดการล้างผักที่จะต้มไปพลาง ๆ วันนี้ผมใช้ผัก 2 – 3 อย่าง ประกอบด้วย กวางตุ้ง ผักขมจีน และผักกาดขาว ที่หลือจากการกินเมี่ยงปลาเมื่อวันก่อน ทุกอย่างหั่นแล้วล้างให้สะอาด สะเด็ดน้ำให้แห้ง


                         เอากระทะขึ้นตั้งไฟ หั่นเต้าหู้ให้เป็นชิ้นพอคำ ก้อนหนึ่งหั่นเป็นแปดชิ้น ใส่น้ำมันในกระทะ พอน้ำมันร้อนก็เอาเต้าหู้ใส่ พอเต้าหู้เหลืองนอก ข้างในยังนุ่มอยู่ ก็ตักใส่ในน้ำซุปที่ต้มไว้ น้ำมันที่เหลือจากทอดเต้าหู้ก็บุบกระเทียมแล้วเอาผักที่หั่นไว้ลงไปผัดให้ผักสลบ แล้วตักใส่หม้อที่ต้มน้ำซุป ซึ่งตอนนี้มีเต้าหู้ด้วย หลายคนคงสงสัย ทำไมต้องเอาผักไปผัด ก็ตอบว่า น้ำมันเหลือน่ะครับ จะทิ้งก็เสียดาย แล้วการผัดผักก่อนเนี่ยมันทำให้ผักรสชาติดี เพราะมีน้ำมัน มีกระเทียมแทรกไปในเนื้อผักด้วย ผักมันยุบตัวด้วยทำให้ใส่หม้อได้พอดีเพราะบางคนใช้หม้อเล็กใส่ผักไม่หมด (ไม่มีเหตุผลมากไปกว่านี้) ต้มจนผักเปื่อยแล้วก็ตักใส่ชามกิน ถ้าจะให้อร่อยถึงใจก็ทำพริกน้ำปลา กระเทียมกินแกล้มด้วย อร่อยอย่าบอกใครเชียว เช้าวันเกษียณวันแรกผมก็อิ่มท้องด้วยจับฉ่าย ถามว่ากินข้าวด้วยหรือเปล่า???? ลืมหุงครับ...